ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เผยว่าในการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวานนี้ (10 กันยายน) มีการหารือกันถึงการแข็งค่าของสกุลเงินยูโร ซึ่งทาง ECB จะจับตาอัตราแลกเปลี่ยนจากนี้ไป ‘อย่างระมัดระวัง’ พร้อมตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยและวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19
ที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์หรืออัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% และคงดอกเบี้ยเงินกู้ (Marginal Lending Facility) และดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับธนาคารกลางที่ระดับ 0.25% และ -0.50% ตามลำดับ
นอกจากนี้ ECB ยังมีมติคงวงเงินการซื้อพันธบัตรตามโปรแกรมกระตุ้นเศรษฐกิจฉุกเฉินเพื่อรับมือสถานการณ์โควิด-19 หรือ Pandemic Emergency Purchase Programme ที่ 1.35 ล้านล้านยูโรตามเดิม
สำหรับสถานการณ์สกุลเงินยูโรนั้นแข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ที่ 1.1902 ดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังการประกาศนโยบายการเงินของ ECB เมื่อคืนนี้ โดยนับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ยูโรแข็งค่าขึ้นแล้วกว่า 5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์ตั้งคำถามว่า ECB จะตัดสินใจผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมหรือไม่ เพราะการที่เงินยูโรแข็งค่ามากจะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกในยูโรโซน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ คริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB เผยว่าทางสภาบริหารของธนาคารกลางได้หารือกันแล้ว แต่ที่ผ่านมา ECB ไม่มีนโยบายกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ทว่า ECB ยืนยันว่ามีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพของระดับราคา ซึ่งการแกว่งตัวของอัตราแลกเปลี่ยนที่มากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นจากนี้ไป ECB จะจับตาสถานการณ์อย่างระมัดระวัง
ส่วนสถานการณ์การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจนั้น ลาการ์ดเผยว่าข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมานับจากการประชุมนโยบายการเงินหลังสุดของ ECB ในเดือนกรกฎาคมบ่งชี้ถึงการรีบาวด์ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยดีมานด์ในยูโรโซนฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญจากระดับที่ต่ำมากก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจยังคงส่งผลต่อการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคและการลงทุนในภาคธุรกิจ
ภายใต้บริบทดังกล่าว ECB จึงปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ขึ้นเล็กน้อย จากเดือนมิถุนายนที่ประมาณการว่าเศรษฐกิจจะหดตัว 8.7% ในปี 2020 เป็นหดตัวเหลือ 8% ส่วนปี 2021 ECB คาดว่า GDP โดยรวมของยูโรโซนจะเติบโต 5%
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
