สำนักข่าว Reuters รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดในภูมิภาคยุโรปตะวันออก พบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมตอนนี้มากกว่า 20 ล้านคนแล้ว โดยถือเป็นการระบาดที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มเกิดวิกฤตโควิดเมื่อปีที่ผ่านมา
การแพร่ระบาดรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ทางการของหลายประเทศในยุโรปตะวันออก ประสบปัญหาการฉีดวัคซีนล่าช้า หลายประเทศ เช่น รัสเซีย ยูเครน และสโลวาเกีย มีอัตราฉีดวัคซีนต่ำที่สุดในทวีปยุโรป โดยมีประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกเพียงไม่ถึงครึ่ง ซึ่ง ฮังการี เป็นประเทศที่มีอัตราฉีดวัคซีนสูงสุดในภูมิภาค โดยมีประชากรได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้วกว่า 62%
จากการวิเคราะห์ของ Reuters พบว่า 3 ใน 5 ประเทศที่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิดสูงสุดในโลก คือประเทศในยุโรปตะวันออก ได้แก่ รัสเซีย ยูเครน และโรมาเนีย ซึ่ง ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการโครงการภาวะฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ปัจจัยการระบาดที่รุนแรงในยุโรปตะวันออก มาจากการรวมตัวกันในที่ร่มและไม่รักษาระยะห่างของประชาชน รวมถึงไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการระบาดอย่างจริงจัง ภายหลังทางการของหลายประเทศ ยกเลิกมาตรการควบคุมและป้องกันที่เข้มงวด อีกทั้งยังเป็นช่วงฤดูหนาวที่ทำให้การแพร่ระบาดเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ในยุโรปตะวันออกกว่า 40% พบในรัสเซีย หรือคิดเป็นพบผู้ติดเชื้อในรัสเซีย 120 คน ในทุกๆ 5 นาที ซึ่งตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิดในรัสเซีย เพิ่มสูงเป็นสถิติใหม่เกิน 1,000 คนในวันเดียวต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 แล้ว
ปัจจุบันรัสเซียมีอัตราการฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ประชาชนอยู่ที่ราว 36% ของจำนวนประชากรทั้งหมดกว่า 146 ล้านคน ซึ่งสถานการณ์แพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้น ทำให้ทางการกรุงมอสโก เตรียมสั่งปิดสถานประกอบธุรกิจทั้งหมดในสัปดาห์หน้า ยกเว้นร้านขายยา ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าที่จำเป็น
ส่วนที่ ยูเครน สถานการณ์ระบาดของโควิดทวีความรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิต เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่วันศุกร์ (22 ตุลาคม) ที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลตัดสินใจขยายเวลาบังคับใช้ภาวะฉุกเฉินเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด ส่วนอัตราการฉีดวัคซีน จนถึงตอนนี้พบว่า มีประชากรยูเครนได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกเพียงประมาณ 19%
ภาพ: Photo by Sergei Savostyanov / TASS via Getty Images
อ้างอิง: