หลังเพลง Not Like Us ของ เคนดริก ลามาร์ ในซูเปอร์โบวล์ ฮาล์ฟไทม์ โชว์จบลงไป บทสนทนาระหว่างเพื่อนฝูงที่ดู ซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 59 อยู่ด้วยกัน ยังเป็นหัวข้อที่ว่า แคนซัส ซิตี ชีฟส์ จะกลับมาในครึ่งหลังได้หรือไม่
แต่ผลสุดท้ายของการแข่งขันก็ได้จบลงไปอย่างที่ทุกท่านทราบกันไปแล้ว นั่นคือความพ่ายแพ้ของทีมแชมป์เก่าชนิดที่เรียกได้ว่า ‘หมดรูป’ และการขึ้นเป็นแชมป์ซูเปอร์โบวล์สมัยที่ 2 ของ ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ ภายใต้จอมทัพผู้คู่ควรกับ วินซ์ ลอมบาร์ดี โทรฟี และรางวัล MVP รอบชิงชนะเลิศที่เขาได้รับอย่าง เจเลน เฮิร์ตส์
แต่ไม่ใช่แค่เฮิร์ตส์เท่านั้น เพราะในเกมซูเปอร์โบวล์ เมื่อเช้าที่ผ่านมา เรายังเห็นเหตุผลอีกมากมายที่ทำให้‘อินทรีมรกต’ คว้าแชมป์สมัยที่ 2 ได้สำเร็จ
Slow Start
ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 59 เมื่อเช้าที่ผ่านมา (10 กุมภาพันธ์) เริ่มต้นด้วยข่าวใหญ่ที่ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนแรกที่มาชมเกมซูเปอร์โบวล์ระหว่างดำรงตำแหน่ง โดยเขามาถึงตั้งแต่ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น
แต่เมื่อเกมเริ่มต้นขึ้น ทั้ง 2 ฝ่ายเล่นกันด้วยความกล้าๆ กลัวๆ แต่นั่นก็บ่งบอกถึงการเตรียมแผนการเล่นมาเป็นอย่างดีของทั้ง 2 ทีมเช่นกัน
ชีฟส์ เตรียมตัวมาปิดผนึกผู้เล่นเกมบุกแห่งปีของอีเกิลส์ อย่าง เซควอน บาร์กลีย์ เป็นอย่างดีตั้งแต่ไดร์ฟแรกของเกม ส่งผลให้ท้ายที่สุด ไดร์ฟนี้ต้องจบด้วยการพันต์
ขณะที่อีเกิลส์ ก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งในเกมรับของพวกเขา ตั้งแต่ไดร์ฟแรกเช่นกัน เพราะหลังจากเสีย ดาวน์ที่ 1 ตั้งแต่ที่มาโฮมส์ปาบอลครั้งแรก หลังจากนั้น พาสรัช (ตำแหน่งเร่งควอเตอร์แบค) ของอีเกิลส์ ก็แวะเวียนไปทักทายมาโฮมส์อย่างสม่ำเสมอ และพัฒนาจากคำว่า ‘ทักทาย’ กลายเป็น ‘หลอกหลอน’ เมื่อมองจากสิ่งที่ มาโฮมส์ ต้องเจอทั้งเกมนี้
ตลอดเกม ทีมรับ อีเกิลส์ ทำสถิติ 6 แซ็ก 2 อินเตอร์เส็ปต์ บีบให้เกิดฟัมเบิลส์ได้ 1 ครั้ง โดยที่โดดเด่นคือ จอช สเวต กับ มิลตัน วิลเลียมส์ ที่ไปเล่นงานใส่ มาโฮมส์ รวม 4.5 แซ็ก โดยทาง วิลเลียมส์ เป็นการ แซ็กฟัมเบิลส์ด้วย
การเล่นไม่ออกของชีฟส์ ในไดร์ฟแรกของพวกเขา เปิดทางให้ อีเกิลส์ ลงเล่นในไดร์ฟที่ 2 ของตัวเอง และทำทัชดาวน์แรกในเกม จากการสนีกของ เจเลน เฮิร์ตส์ พร้อมขึ้นนำ 7-0 โดยในตอนนั้นคงไม่มีใครคิดว่า สกอร์จะขาดลอยแน่ๆ
Shutout 1st Half!
ควอเตอร์ที่ 2 นับได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมนี้ หลังอีเกิลส์ ทำรวมกันถึง 17 คะแนน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าสกอร์ที่เกิดขึ้นคือความยอดเยี่ยมของเกมรับทีมอินทรีมรกต ที่แสดงออกมาในควอเตอร์นี้
หลังจากที่ เจเลน เฮิร์ตส์ เสีย อินเตอร์เส็ปต์ ในไดร์ฟแรกของ ควอเตอร์ที่ 2 โมเมนตัม สมควรจะเทมาทางแชมป์เก่า แต่เกมรุกของ ชีฟส์ ลงมาเล่น 3 & Out เปิดโอกาสให้ อีเกิลส์ ลงมาบุกต่อ และโกยไปได้ 17 แต้ม ในควอเตอร์นี้ จาก 2 ทัชดาวน์ แบ่งเป็นการอินเตอร์เส็ปต์และวิ่งย้อนของ คูเปอร์ เดอฌอน 1 ทัชดาวน์ และ การรับ 12 หลาของ เอเจ บราวน์ อีก 1 ทัชดาวน์ รวมไปถึงพวกเขายังมีอีก 1 ฟิลด์โกลระยะ 48 หลาของ เจค เอลเลียตต์ ด้วย
หัวใจสำคัญที่เปลี่ยนโฉมหน้าของเกมในควอเตอร์ที่ 2 ไปโดยสมบูรณ์ คือเกมรับของ อีเกิลส์ ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งกดดันมาโฮมส์และพลพรรคเกมบุกของชีฟส์ ให้ทำระยะได้แค่ 23 หลาในครึ่งแรก ซึ่งน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในประวัติศาสตร์ซูเปอร์โบวล์
สำหรับแฟนๆ NFL คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปีนี้ เกมบุกชีฟส์ มีปัญหาพอสมควร ทั้งเรื่องการดร็อปบอลของปีก โดยทีมเหมือนยังไม่มีปีกมือ 1 ที่ชัดเจน จน ทราวิส เคลซี ที่เล่นในตำแหน่งปีกใน ต้องกลายเป็นเป้าหลักของมาโฮมส์ไปแทน
แต่ในช่วงเพลย์ออฟผลงานของ เคลซี ก็ไม่ได้ดีนัก จนมีข่าวว่า เขาอาจจะรีไทร์หลังจบซูเปอร์โบวล์ แม้ว่าในเวลาต่อมาเจ้าตัวจะออกมาปฏิเสธข่าวลือนี้ก็ตาม
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด และสำคัญกว่าผลงานของปีก คือผลงานของไลน์เกมบุก หรือ O-Line ของชีฟส์ ที่ปีนี้ถูกตั้งคำถามเป็นอย่างมาก ในบทบาทการป้องกันแพทริก มาโฮมส์
O-Line ของชีฟส์ทำให้มาโฮมส์ โดน แซ็กถึง 36 ครั้งจากการเล่น 16 เกม แม้จะเป็นอันดับ 12 ในจำนวนควอเตอร์แบกทั้งหมด แต่นั่นก็ถือว่ามากทีเดียวสำหรับจอมทัพที่มีความคล่องตัวอย่าง มาโฮมส์
และแผลในเรื่อง O-Line มันยิ่งชัดเจน เมื่อต้องมาเจอกับทีมที่แซ็กคู่แข่งเป็นอันดับ 1 ใน NFL อย่าง อีเกิลส์ จึงกลายเป็นภาพที่เห็นในรอบชิงฯ ซูเปอร์โบวล์ว่า มาโฮมส์ แทบไม่มีเวลามองหาเป้าก่อนปาบอลเลย
และเมื่อเวลาที่ใช้ในการปาบอลลดลง ความผิดพลาดจากการเร่งปล่อยบอลก็มากขึ้น มันจึงกลายเป็นโอกาสของอีเกิลส์ และช่องว่าง 17 คะแนน ที่พวกเขาทำได้ในควอเตอร์ที่ 2 พร้อมกับปิดควอเตอร์นี้ด้วยสกอร์ที่ห่างจากชีฟส์ถึง 24-0
In Their hand
ซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 59 น่าจะจบลงอย่างสมบูรณ์ หลังจากที่ เจเลน เฮิร์ตส์ ปาทัชดาวน์ ระยะ 46 หลา ให้ ดาวอนทา สมิธ รับลูกในเอ็นด์โซนแบบสุดสวย และส่งให้ อีเกิลส์ นำในตอนนั้น 34-0
ในช่วงพักครึ่ง หลังจากการโชว์ของเคนดริก ลามาร์ หลายๆ ฝ่าย ยังมองกันว่า ชีฟส์ ยังมีโอกาสกลับมา ถ้าพวกเขาทำในสิ่งที่ นิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ เคยทำในซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 51 ซึ่งพวกเขาคัมแบ็ก 25 แต้มใส่ แอตแลนดตา ฟอลคอนส์ ได้สำเร็จ ทว่าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในเกมนี้
ช่วงเวลาพักครึ่งที่ยาวนานกว่าช่วงพักครึ่งของเกมปกติในซูเปอร์โบวล์ ไม่ได้ทำให้ ชีฟส์ ตีโจทย์ในการรับมือกับทีมรับของอีเกิลส์ได้ดีมากขนาดนั้น เพราะไดร์ฟแรกหลังพักครึ่งลงมา คือการทำได้ 15 หลา จาก 7 เพลย์ และต้องพันต์ทิ้ง ขณะที่ไดร์ฟต่อมา ก็เล่น 7 เพลย์แล้ว เทิร์นโอเวอร์ ออน ดาวน์
ขณะที่ชีฟส์ ยังหาทางรับมือกับเกมรับ อีเกิลส์ในช่วงต้นครึ่งหลังไม่เจอ แต่เหมือนทางอีเกิลส์ เหมือนจะหาวิธีเล่นงานเกมรับชีฟส์เจอแล้ว โดยพวกเขารักษาสมดุลระหว่างเกมขว้างของเฮิร์ตส์ กับ เกมวิ่งของ เซควอน บาร์กลีย์ ได้ดีขึ้น และนำมาสู่ 10 คะแนน เพิ่มช่องว่างเป็น 34-0
ขณะที่เกมรับของ วิค แฟนจิโอ หัวหน้าโค้ชเกมรับของ อีเกิลส์ ก็ปล่อยให้ลูกทีมคุมเกมหลวมขึ้น หลังจากนำห่างกว่า 30 แต้ม เปิดโอกาสให้ มาโฮมส์ ได้บ็อมบ์ตูมใหญ่ ส่งบอลไกล 46 หลา ให้ ซาเวียร์ เวิร์ธตี รับเป็นทัชดาวน์ และเป็นสกอร์แรกของแชมป์เก่า ไล่มาห่างๆ 6-34 แต่มันก็น่าจะเป็นสกอร์ที่มาสายเกินไป เพราะมันมาในเวลาที่ทุกอย่างอยู่ในมือของทีมอีเกิลส์หมดแล้ว
2nd Champions and Super Bowl MVP
Garbage Time แปลตรงตัวว่าช่วงเวลาขยะ ซึ่งมันเป็นคำจำกัดความช่วงเวลาที่ไร้ความหมายในการแข่งขันกีฬา เนื่องจากทีมหนึ่งถูกอีกทีมหนึ่งถล่มจนขาดลอยไปแล้ว ซึ่งช่วงเวลานี้ ก็เหมือนช่วงเวลาที่มันเล่นไปให้จบๆ โดยที่ทีมนำ ก็จะคอยประคองสถานการณ์ไม่ให้ทีมตามได้สกอร์ง่ายเกินไป ส่วนทีมที่ตามก็พยายามทำสกอร์เต็มที่ เพื่อให้ไม่แพ้เละเทะจนเกินไป
Garbage Time จึงเป็นตัวอย่างของนิยาม ควอเตอร์ที่ 4 ในซูเปอร์โบวล์ ครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แม้ชีฟส์ จะทำเพิ่มมาถึง 16 คะแนน ในควอเตอร์เดียว ส่วน อีเกิลส์ ได้เพียงแค่ 2 ฟิลด์โกล แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงผลการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นแต่อย่างใด
ในช่วงที่เวลาเหลือ 2 นาที 52 วิฯ ของควอเตอร์สุดท้าย (ยังไม่เข้า ช่วงเตือน 2 นาทีด้วยซ้ำ) ชีฟส์ กำลังถือบอลบุก และตามหลังอยู่ 14-40 ในตอนนั้น นิค ซิริอานนี หัวหน้าโค้ชของ อีเกิลส์ โดน 2 ปีกที่ทำผลงานดีที่สุดในเกมนี้อย่าง เอเจ บราวน์ กับ ดาวอนทา สมิธ เอาน้ำ Gatorade มาราดใส่เพื่อเฉลิมฉลอง ตามธรรมเนียมของผู้ชนะที่เขาทำกัน
แม้หลังจากนั้น มาโฮมส์ จะมาปาอีก 1 ทัชดาวน์ ให้กับ ซาเวียร์ เวิร์ธตี คนเดิม ส่งผลให้เกมจบด้วยสกอร์ 22-40 แต่เกมจริงๆ มันก็จบไปตั้งแต่ก่อนเริ่มควอเตอร์ที่ 4 แล้วก็ว่าได้
นี่จึงเป็นแชมป์ที่งดงามของ อีเกิลส์ และเราได้เห็น เจเลน เฮิร์ตส์ เดินขึ้นไปชูถ้วย วินซ์ ลอมบาร์ดี โทรฟี พร้อมกับได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่น MVP ในรอบชิงฯ ซูเปอร์โบวล์ ด้วยผลงาน 221 หลา 2 ทัชดาวน์ กับ 1 อินเตอร์เส็ปต์
ขณะที่ ซีริอานนี ก็คว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ครั้งแรกในวัย 43 ปี และเป็นการคว้าแชมป์หลังคุม อีเกิลส์ มาได้ในฤดูกาลที่ 4 เท่านั้น
Offense Sells Tickets, Defense Wins Championships
“ต้องยกเครดิตให้กับ อีเกิลส์” มาโฮมส์ ออกมายกย่องคู่แข่งหลังเกม “พวกเขาเล่นได้ดีกว่าเราตั้งแต่ต้นจนจบ การเสียเทิร์นโอเวอร์มันน่าเจ็บปวดและทำให้พวกเขาได้เปรียบ และทำสกอร์จากความผิดพลาดของเขาได้ทันที นั่นคือ 14 คะแนนที่ผมมอบให้กับเขาเอง
“จากจุดนั้น มันยากที่จะกลับมาได้แล้ว ผมไม่ได้เล่นตามมาตรฐานของตัวเอง ผมจะต้องเล่นให้ดีขึ้นในการเจอกันกับพวกเขาในครั้งหน้า”
จอมทัพ เจ้าของแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 3 สมัย ถึงกับออกมายอมรับสภาพที่เกิดขึ้นในเกมนี้ แต่อันที่จริงแล้ว เขายังให้สัมภาษณ์โดยปกป้องเพื่อนร่วมทีมอีกหลายตำแหน่งที่เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานในเกมนี้ โดยพยายามรับความย่ำแย่ที่เกิดขึ้นในเกมนี้ไว้เพียงคนเดียว
2 รายชื่อที่น่าผิดหวัง คือ ดีอังเดร ฮอปกินส์ กับ ทราวิส เคลซี ที่ช่วยทีมไม่ได้เท่าที่ควร ฮอปกินส์ ดร็อปบอลในช่วงท้ายควอเตอร์ที่ 2 แบบดื้อๆ ทำให้ ชีฟส์ พลาดการทำสกอร์ตีไข่แตกตอนจบครึ่งแรก ส่วน เคลซี แม้จะรับบอลไป 4 ครั้ง แต่ระยะเฉลี่ยต่อครั้งไม่ถึง 10 หลา ซึ่งเรียกได้ว่า ต่ำกว่ามาตรฐานพอสมควร
แม้ความผิดพลาดส่วนตัวจะทำร้ายชีฟส์ แต่ที่ต้องได้รับเครดิต และเป็นเครดิตที่มากด้วย คือเกมรับของ อีเกิลส์ ที่เล่นงานใส่ O-Line ของชีฟส์ได้อย่างต่อเนื่อง จนมาโฮมส์ โดนไป 6 แซ็ก และแทบไม่มีเวลามองหาเป้า
นอกจากนี้ ในตำแหน่งตัวคุมปีกของอินทรีมรกต ก็ทำหน้าที่ได้นานพอที่จะปิดอาวุธของมาโฮมส์ ทำให้เขาไม่สามารถออกบอลได้ในจังหวะที่ควรออก
อย่าลืมว่า อีเกิลส์ คือทีมรับอันดับ 1 ของ NFL ในฤดูกาลนี้ พวกเขาเสียระยะน้อยที่สุดในลีก แค่เพียง 4,792 หลา เป็นทีมเดียวใน NFL ที่เสียระยะไม่ถึง 5,000 หลาในฤดูกาลปกติ และเสียระยะเฉลี่ยไม่ถึง 300 หลาต่อเกม ทีเดียวในลีกเช่นกัน
ทีมรับ อาจจะไม่เซ็กซี เมื่อมองไปแล้วเทียบกับทีมบุก แต่ทีมรับของ อีเกิลส์ เป็นหัวใจที่แท้จริงในการเป็นแชมป์ซูเปอร์โบวล์ในครั้งนี้ของพวกเขา
และเป็นอีกครั้งที่ประโยคที่ว่า “เกมบุกมีไว้ขายตั๋ว แต่เกมรับมีไว้คว้าแชมป์” นั้นเป็นเรื่องจริง…
อ้างอิง:
- https://www.nytimes.com/athletic/6125021/2025/02/09/super-bowl-2025-score-eagles-win-chiefs/
- https://sports.yahoo.com/super-bowl-5-plays-that-fueled-eagles-dominant-win-over-chiefs-032909962.html
- https://www.cbsnews.com/live-updates/super-bowl-2025-chiefs-eagles/
- https://www.pff.com/news/nfl-super-bowl-59-5-things-chiefs-eagles
- https://www.independent.co.uk/sport/nfl/tom-brady-patrick-mahomes-super-bowl-chiefs-eagles-b2695135.html
- https://www.nfl.com/games/chiefs-at-eagles-2024-post-4?active-tab=stats