ต่อเนื่องจากการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ (1 กรกฎาคม) ของ สมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA เพื่อชี้แจงประเด็นการถูกบังคับขาย (Force Sell) หุ้น EA ที่ถืออยู่ในมือ
ล่าสุดซีอีโอของ EA ได้แถลงข่าวเพิ่มเติมในวันนี้เกี่ยวกับอนาคตของบริษัท รวมทั้งชี้แจงกระแสข่าวลือต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางการดิ่งลงของราคาหุ้นจาก 100 บาท ไปทำจุดต่ำสุดที่ 10.50 บาท ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ของบริษัทลดลงไปราว 3 แสนล้านบาท
จากข้อมูลที่ได้รับจากผู้บริหาร EA ในครั้งนี้ สามารถสรุปได้ 6 ประเด็น ได้แก่
1. อนาคตธุรกิจไฟฟ้าหลังหมด Adder
ประเด็นแรกที่ถูกหยิบยกขึ้นมาชี้แจงในวันนี้คือ ผลกระทบต่อรายได้ของ EA ในระหว่างที่ ‘อัตราค่าไฟส่วนเพิ่ม’ (Adder) ที่บริษัทเคยได้รับ กำลังทยอยหมดลงไป ซึ่งจะทำให้โครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์และลมที่มีกำลังการผลิตรวม 656 เมกะวัตต์ จะมีรายได้รวมลดลงจาก 9 พันล้านบาทในปี 2568 เหลือ 5 พันล้านบาทในปี 2573
“แต่การที่ Adder หมดไปไม่ได้หมายความว่ารายได้ของธุรกิจไฟฟ้าจะหายไปทั้งหมด เพราะโรงไฟฟ้ามีรายได้จาก 2 ส่วนคือ ค่าไฟฟ้าพื้นฐาน และค่า Adder” สมโภชน์กล่าว
ในอนาคตแม้ว่ารายได้จาก Adder จะหมดไปแล้ว แต่ EA จะยังมีรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอนจากธุรกิจไฟฟ้าที่สามารถยืดอายุสัญญาไปได้ต่อเนื่อง และธุรกิจนี้จะเป็นเหมือน ‘ท่อน้ำเลี้ยง’ ที่คอยสร้างกระแสเงินสดเพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ ต่อไป
2. สภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้
หนึ่งในความกังวลที่เกิดขึ้นกับ EA คือ กระแสเงินสดที่ลดลงในระยะหลัง โดยเฉพาะกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่พลิกมาติดลบในปี 2566 ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามต่อความสามารถในการชำระคืนหนี้ที่กำลังจะทยอยครบกำหนดชำระคืน โดยเฉพาะหุ้นกู้ 2 ชุด มูลค่า 5.5 พันล้านบาท ที่จะครบกำหนดชำระคืนในปีนี้
สมโภชน์ยืนยันว่า บริษัทจะไม่เผชิญกับปัญหาสภาพคล่อง และมีความสามารถในการชำระคืนหนี้ทั้งหมด โดยกระแสเงินสดจะมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าและธุรกิจใหม่ที่เริ่มสร้างรายได้บ้างแล้ว รวมทั้งการออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิม และเงินกู้จากสถาบันการเงิน
สำหรับกระแสเงินสดจากการดำเนินการที่ติดลบเมื่อปีก่อน สมโภชน์บอกว่าเป็นผลจากการนำไปช่วยเหลือบริษัทลูกเพื่อผลักดันธุรกิจใหม่ในช่วงแรก เช่น ธุรกิจรถเมล์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตามการช่วยเหลือเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวและได้ผ่านไปแล้ว ซึ่งได้สะท้อนออกมาผ่านงบกระแสเงินสดในไตรมาส 1 ปีนี้ ที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานพลิกกลับมาเป็นบวกได้เกือบ 2 พันล้านบาท
ส่วนการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ล่าสุดอยู่ระหว่างการสำรวจความต้องการของนักลงทุนและอัตราดอกเบี้ยที่นักลงทุนคาดหวัง ซึ่งในส่วนนี้สมโภชน์ยอมรับว่าต้นทุนทางการเงินของ EA จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากความเชื่อมั่นต่อบริษัทที่ลดลง
ปัจจุบันอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของ EA อยู่ที่ BBB+ ซึ่งยังเป็น Investment Grade แต่อัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่จะออกใหม่ สำหรับอายุ 1 ปี น่าจะอยู่ในกรอบ 4.50-4.75% ส่วนหุ้นกู้อายุ 3 ปี น่าจะอยู่ที่ราว 5.50% ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงขึ้นจากหุ้นกู้ชุดเก่ากว่า 1%
3. อนาคตธุรกิจ EV
สมโภชน์กล่าวว่า ในบรรดาธุรกิจหลักของ EA ธุรกิจแบตเตอรี่เป็นธุรกิจที่มีความท้าทายมากที่สุด เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูง เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ขณะที่ตลาดในไทยก็ไม่ใหญ่มากนัก แต่เชื่อว่าธุรกิจนี้จะยังเดินหน้าไปต่อได้ เพียงแต่บริษัทต้องสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ของธุรกิจขึ้นมาให้ได้ ซึ่งเป็นที่มาของการสร้างธุรกิจผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า เรือไฟฟ้า หัวรถจักรไฟฟ้า สถานีชาร์จ
ข่าวดีของธุรกิจแบตเตอรี่คือ สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ทำให้บริษัทจีนส่งออกสินค้าได้ยากขึ้น จนเกิดภาวะอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) ช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงวัตถุดิบด้วยต้นทุนที่ต่ำลง
สมโภชน์กล่าวต่อว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของจีน สำหรับการรับจ้างผลิต (OEM) รถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากบริษัทยังมีกำลังการผลิตเพียงพอ
ส่วนธุรกิจรถเมล์ไฟฟ้าของ Thai Smile Bus ปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย 3.5 แสนคนต่อวัน และในไตรมาสแรกที่ผ่านมา EBITDA ของธุรกิจพลิกมาเป็นบวกแล้ว โดยคาดว่าในอีก 1 ปีถัดจากนี้บริษัทจะเริ่มทำกำไรได้
4. ปัญหาของ NEX
หนึ่งในปัญหาสำคัญที่เข้ามากระทบคือความเชื่อมั่นต่อกลุ่มธุรกิจของ EA คือ ความเชื่อมั่นต่อ บมจ.เน็กซ์ พอยท์ (NEX) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ EA
ทั้งนี้ NEX มีแผนที่จะเพิ่มทุนอีกกว่า 8 พันล้านบาท ทั้งการจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Right Offering) และเพิ่มทุนให้กับบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) โดยจะจัดสรรให้กับ คณิสสร์ ศรีวชิระประภา ซีอีโอของ NEX ซึ่งเป็นอดีตผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของบริษัท ก่อนจะถูกบังคับขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไปจำนวนมาก ในระหว่างที่ราคาหุ้น NEX ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
“ความท้าทายของ NEX คือความเชื่อมั่น ก่อนหน้านี้บริษัทคาดการณ์ว่าจะขายรถบรรทุกไฟฟ้าได้ 5,000 คันในปีนี้ จากลูกค้าที่มีความเป็นไปได้จำนวน 136 ราย แต่หลังเกิดปัญหาขึ้นทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป”
หนึ่งในความพยายามที่จะฟื้นฟู NEX คือการซื้อใจให้คณิสสร์กลับมามีแรงกระตุ้นในการพลิกฟื้นบริษัทอีกครั้ง นอกจากการจัดสรรหุ้น PP ให้แล้ว ยังมีการจัดสรร Warrant ให้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งหากคณิสสร์สามารถพลิกธุรกิจ NEX ให้กลับมามีผลประกอบการที่ดีได้ก็มีโอกาสจะได้รับผลตอบแทนจาก Warrant เพิ่มเติม
5. แผนร่วมทุนกับรัฐบาล สปป.ลาว
จากการประกาศร่วมทุนกับรัฐบาล สปป.ลาว เพื่อจัดตั้ง Super Holding Company ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 7-8 พันล้านบาท โดย EA จะเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 35%
Super Holding ดังกล่าวจะเป็นศูนย์กลางการจำหน่ายและบริหารพลังงานสะอาดแบบครบวงจร ซึ่งในอนาคตแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ซึ่งส่วนมากคือเขื่อน จะเข้ามาอยู่ภายใต้ Super Holding โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 7 พันเมกะวัตต์
“สิ่งที่น่าสนใจคือ หากใครจะจำหน่ายหรือนำเข้าพลังงานไฟฟ้าใน สปป.ลาว จะต้องผ่าน Super Holding และ EA จะเป็นตัวแทนให้กับ สปป.ลาว ในการจำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตขึ้น ซึ่งเป็นไฟฟ้าที่ราคาถูกและเป็นพลังงานสะอาด โดยสามารถจำหน่ายให้กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค หากมีความต้องการซื้อ”
6. สัดส่วนรายได้ของ EA ในอนาคต
สมโภชน์กล่าวว่า รายได้จากธุรกิจ EV จะมีสัดส่วนที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากยอดขายของรถไฟฟ้าที่มากขึ้น พร้อมกับรายได้จาก Adder ที่ลดลง ซึ่งในส่วนนี้จะมาจากทั้งยอดขายรถของ NEX และการรับจ้างผลิตรถไฟฟ้าให้กับผู้ผลิตอื่นๆ
“ในอีก 2 ปี รายได้ของธุรกิจ EV จะสูงกว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าในช่วงหนึ่ง ก่อนที่รายได้จาก Super Holding จะเข้ามา ทำให้รายได้ระหว่างธุรกิจไฟฟ้าและ EV กลับมาใกล้เคียงกันอีกครั้ง”
นอกจากนี้ EA ยังมีแผนที่จะรุกธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การร่วมทุนกับ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) เพื่อผลิตเชื้อเพลิงอากาศยาน
สมโภชน์กล่าวทิ้งท้ายว่า วันนี้มีโอกาสอธิบายในสิ่งที่หลายคนกังวล รวมทั้งชี้แจงข่าวลือบางส่วนที่เกิดขึ้น และน่าจะช่วยให้ทุกคนเห็นอนาคตของ EA ชัดเจนขึ้น
“เราไม่ได้มาปั่นหุ้น เราดีกว่านั้นแน่นอน EA ยังมีกระแสเงินสดที่มั่นคง แม้ว่า Adder จะหมดไป ส่วนปัญหาจากเกมการเงินได้จบไปแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าหุ้นจะลงไปเท่าไรผมก็ไม่ขาย” สมโภชน์กล่าว