บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA เดินหน้าสู้ศึก EV Car เต็มกำลัง จ่อเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่สัญชาติไทย 100% ภายใต้แบรนด์ ‘MINE’ วันที่ 15-20 ตุลาคมนี้ หวังตอบโจทย์ลูกค้าเชิงพาณิชย์ พร้อมชูจุดเด่น ‘ชาร์จไว’ กว่าคู่แข่ง
หลังจากที่วานนี้ (10 ตุลาคม) เพจเฟซบุ๊ก ‘Energy Absolute’ ซึ่งเป็นเพจของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “เตรียมพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญกับนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าฝีมือคนไทย 100% เราพร้อมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” พร้อมภาพเค้าโครงยานยนต์ไฟฟ้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- อากิโอะ โทโยดะ ซีอีโอ Toyota เผยแล้ว เหตุผลที่ไม่กระโจน ‘สู่สายพาน EV’ พร้อมย้ำ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังไม่ใช่กระแสหลัก
- รู้จัก BYD แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชื่อนี้ ที่ Tesla อยากได้ และกำลังจะเข้ามาทำตลาดในไทยเป็นครั้งที่ 3
- รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเทรนด์ก็จริง แต่เมืองไทยพร้อมหรือยังสำหรับรถที่จะใช้แบตเตอรี่ 100%
ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวทำให้เกิดข้อสงสัยว่า EA เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าใหม่อีกครั้งหรือไม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ EA เคยเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าประเภทครอบครัวไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน รวมถึงเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ไฟฟ้า MINE รุ่น SPA1 ประกอบกับรถบัสไฟฟ้าที่ใช้วิ่งในระบบขนส่งผู้โดยสาร รวมถึงรถบรรทุกไฟฟ้าหลายประเภท รวมทั้งเรือไฟฟ้าด้วย
อมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ภายในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ฝีมือคนไทย 100% ภายใต้แบรนด์ MINE ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทเคยเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าไปก่อนหน้านี้แล้ว
สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่จะเตรียมเปิดตัวนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าประเภทใด แต่เบื้องต้นบอกได้เพียงว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่จะตอบโจทย์ผู้ใช้ในเชิงพาณิชย์ที่ต้องวิ่งรับส่งผู้โดยสารหรือผู้มีความจำเป็นต้องใช้เดินทางระยะไกล
“ผู้ประกอบการชั้นนำหลายค่ายของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าจะไม่ได้โฟกัสลงมาเล่นตลาดนี้ ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะมีความต้องการในส่วนนี้ อีกทั้งบริษัทจะชูจุดเด่นที่มีคือ การใช้เวลาชาร์จไฟต่อครั้งที่เร็วกว่าค่ายรถยนต์แบรนด์อื่นๆ เพื่อให้ตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ รวมถึงจะพยายามทำให้ราคาอยู่ในจุดที่เข้าถึงได้” อมรกล่าว
สำหรับความเคลื่อนไหวราคาหุ้น EA ในภาคเช้าของการเปิดตลาดวันนี้ (11 ตุลาคม) ทำจุดสูงสุดที่ 88.75 บาทต่อหุ้น ปรับตัวเพิ่ม 0.79% และในภาคเช้าปิดตลาดที่ระดับ 88.50% เพิ่มขึ้น 0.57% หรือเพิ่มขึ้น 0.50 บาท โดยมีมูลค่าการซื้อ-ขาย 301 ล้านบาท ติดอันดับหุ้นที่มีการซื้อ-ขายมากที่สุดของตลาดวันนี้