วันนี้ (16 ธันวาคม) ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงข่าวกรณีเครือข่ายทุนจีนสีเทา โดยระบุว่ามีข้อมูลที่เชื่อว่าเริ่มมาจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พร้อมอธิบายถึงจำนวนประชากรจีนที่เชื่อมโยงถึงกลุ่มทุนว่า จำนวนประชากรจีนมี 1,400 ล้านคน 5% คือ 70 ล้านคน จัดเป็นคนจีนที่มีฐานะ ในจำนวน 1,400 ล้านคน คิดเป็นทุนจีนสีเทา 0.5% เท่ากับมี 7 ล้านคน
ถ้าถามว่ากลุ่มคนพวกนี้ไปที่ไหน เชื่อว่ากลุ่มนี้ต้องก็เลือกไปที่ที่มีระบบราชการอ่อนแอ เพราะสามารถไปก่ออาชญากรรม เช่น ยาเสพติด คอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ บ่อนได้ และธุรกิจประเภทนี้เป็นแหล่งเงินมหาศาล ดังนั้นกลุ่มจีนสีเทากว่า 7 ล้านคนจึงกระจายไปยังประเทศที่อยู่ติดกับประเทศจีน เฉลี่ยประเทศละ 1 ล้านคน เช่น ประเทศเวียดนาม (เพราะชายแดนติดกัน), กัมพูชา, สปป.ลาว, ฟิลิปปินส์ และไทย
ชูวิทย์กล่าวต่อไปว่า คนจีนบางคนไม่ได้ถือพาสปอร์ตจีน แต่ถือพาสปอร์ตวานูวาตู หรือมอลตา ซึ่งประเทศเหล่านี้ใช้เงินแค่ 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 18 ล้านบาท เทียบเงินหยวนแค่ 4 ล้านหยวน ก็แปลงสัญชาติได้ วิธีการคือไปลงทุนในประเทศเล็กๆ ให้ได้พาสปอร์ตเข้าสู่ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ เมื่อเข้ามาแล้วก็ไล่ซื้อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ และดำเนินการทำธุรกิจสีเทา
“วันนี้ที่ผมไปกินข้าวกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สะท้อนไปว่าที่ผับจินหลิงมีความพิเศษกว่าที่อื่น เพราะพบยาเสพติดจำนวนมากที่ฝากได้ ขายได้ ดังนั้นที่นี่เป็นสถานที่ที่มีการมั่วสุมยาเสพติด” ชูวิทย์กล่าว
ชูวิทย์ได้ตั้งข้อสังเกตว่าจำนวนที่มีการจับกุมในผับจินหลิง 260 คน พบ 104 คนมีปัสสาวะสีม่วง ต่อมาพบเหลือเพียง 77 คน และหลังการตรวจปัสสาวะภายหลังที่โรงพยาบาล ปรากฏจำนวนหายไป 27 คน ซึ่งในจำนวนนี้ปรากฏว่าตำรวจได้ปล่อยตัวไป ถือว่าเป็นข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรง โดยปล่อยไปเพราะว่าตรวจปัสสาวะแล้วไม่ใช่สีม่วง แต่สถานบริการที่พบยาเสพติดจำนวนมากขนาดนี้มันควรปล่อยตัวไปหรือไม่
ชูวิทย์กล่าวต่ออีกว่า การจะแต่งตั้งใครเป็นประธานกรรมการสอบสวนในเรื่องคดีนี้จำเป็นต้องเอานักสืบสวนสอบสวน แต่กลับเอานายตำรวจยศพันตำรวจเอก ที่ทำงานธุรการ แผนกจัดซื้อจัดจ้างมาเป็นประธานสอบเรื่องสำคัญ
ชูวิทย์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในคดีของตู้ห่าวนั้นมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แต่ ปปง. กลับเพิกเฉย ไม่ยอมตรวจสอบ ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลส่งจดหมายสอบถามไป 2 ครั้ง ก็ยังไม่มีการตอบกลับ ตนจึงได้ตั้งข้อสังเกตต่อว่าอาจเป็นเพราะมีผู้บริหารระดับสูงใน ปปง. ตำแหน่งประธาน ซึ่งมียศ พล.ต.ต. ที่มีความสนิทสนมกับตู้ห่าว และเครือข่ายธุรกิจสีเทาหรือไม่ จึงไม่ออกมาร่วมตรวจสอบในคดีดังกล่าว
“ที่ผ่านมามีหลักฐานยืนยันว่าตู้ห่าวเคยไปที่สำนักงาน ปปง. อยู่บ่อยครั้ง เคยรับประทานอาหาร ดื่มกินร่วมกัน นอกจากนี้ยังพบว่าผู้บริหารระดับสูงคนดังกล่าวยังมีความร่ำรวยผิดปกติ เพราะสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศได้” ชูวิทย์กล่าว
ชูวิทย์ยังได้แสดงหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างผู้บริหารระดับสูงของ ปปง. และตู้ห่าว โดยพบว่ามีสติกเกอร์ตราโล่ของผู้บริหารระดับสูงของ ปปง. ไปติดที่บริเวณหน้ารถตู้ของบุคคลในเครือข่ายกลุ่มทุนจีนสีเทา ตนขอเรียกร้องให้คณะกรรมการ ปปง. ลาออกยกคณะก่อนสิ้นปีนี้ โดยให้ลาออกตั้งแต่ประธานกรรมการ ปปง. รองเลขาธิการ ปปง. เพื่อรับผิดชอบในคดีดังกล่าว เพราะจนถึงวันนี้ยังเพิกเฉย ไม่ดำเนินการตรวจสอบ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องการฟอกเงิน