ความคืบหน้ากรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ดำเนินการสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 ฐานความผิดฟอกเงินและอั้งยี่ จากการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โดยมิชอบ
ล่าสุดวันนี้ (19 พฤษภาคม) มีรายงานว่า พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เตรียมเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวภายในวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคมนี้ เพื่อพิจารณาพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ และคาดว่าจะมีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาชุดแรก
แหล่งข่าวจาก DSI เปิดเผยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ภายหลังการสืบสวนสอบสวนมาระยะหนึ่ง ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบข้อมูลทางธุรกรรมทางการเงินจากธนาคาร วิเคราะห์เส้นทางการเงินของบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายร้อยคน พบพยานหลักฐานและพฤติการณ์ที่เข้าข่ายความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ซึ่งหมายถึงการรวมตัวของคณะบุคคลโดยปกปิดวิธีดำเนินการและมีมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงความผิดฐานฟอกเงิน
การประชุมคณะพนักงานสอบสวนที่จะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ อธิบดี DSI ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน จะติดตามรายงานความคืบหน้าการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยเฉพาะข้อมูลเส้นทางการเงินที่ได้จากคำให้การของพยานปากสำคัญ ซึ่งระบุถึงจำนวนเงินที่ใช้ในการ ‘ฮั้ว’ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง หากพยานหลักฐานเส้นทางการเงินมีความชัดเจนและเชื่อมโยงถึงบุคคลใด
พนักงานสอบสวนจะพิจารณาดำเนินคดี ซึ่งเป็นไปตามหลักฐานที่ปรากฏ โดย DSI จะเน้นการพิสูจน์ความผิดในฐานฟอกเงินและอั้งยี่ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับการดำเนินคดีของคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
แหล่งข่าวระบุอีกว่า หากมีพยานหลักฐานเส้นทางการเงินปรากฏชัดเจน ก็จะมีการพิจารณากำหนดกลุ่มบุคคลแรกที่จะถูกออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาตามฐานความผิด เพื่อเปิดโอกาสให้ได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อไป
นอกจากนี้ ในกระบวนการสืบสวน DSI นำระบบเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์และเชื่อมโยงพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยส่วนหนึ่งพบข้อมูลการกาบัตรเลือกตั้งที่มีลักษณะสอดคล้องกับ ‘โพย’ ที่เชื่อว่ามีการนัดแนะกันไว้ก่อน
อย่างไรก็ตาม การนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์โดย AI มาใช้เป็นพยานหลักฐานในสำนวนคดี จะต้องมีการสอบสวนผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ดังกล่าวในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญด้วย
สำหรับการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ของ DSI ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 2 เดือน โดยมีการลงพื้นที่สืบสวนพยานบุคคล รวบรวมเอกสาร สอบปากคำ สว. สำรอง ตรวจสอบข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์และพิกัด
รวมถึงการจำลองเหตุการณ์และใช้เครื่องมือพิเศษ เลเซอร์สแกน และไลดาร์สแกน ร่วมกับระบบ AI ตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัยผ่านภาพจากกล้องวงจรปิด และคาดการณ์ว่าการสอบสวนจะมีความคืบหน้าสำคัญภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ตามที่เคยมีรายงานไปก่อนหน้า