ช่วงนี้เทรนด์ต้นไม้ยังคงลุกลามไปทุกที่อย่างต่อเนื่องไม่หยุดไม่หย่อน นอกจากราคาจะสูงวันสูงคืนแล้ว ความนิยมในการนำต้นไม้เข้าปลูกในบ้านหรือประดับอาคารก็สูงตามไปด้วย เราเห็นไม้ต่างประเทศที่มีเอกลักษณ์ของใบหรือลำต้นอย่าง มอนสเตอรา ยางอินเดีย และไทรใบสักกันมามากแล้ว ลองมาชมต้นไม้ของไทยที่อยู่กับป่ากับเขาของบ้านเรามาเนิ่นนานกันดูบ้าง หลายคนนำไปประดับบ้านและแต่งสวน โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เราเห็นตามร้านคาเฟ่และโรงแรมมากขึ้นจนเตะตา ไม่รู้ว่าเพราะกระแสการปลูกต้นไม้ หรือว่าเพราะความงามที่ใช้เวลาสร้างคุณค่าให้ตัวมันเองกันแน่
จันผา หรือ จันทร์ผา เป็นไม้ประดับที่ขึ้นอยู่ตามป่าเขา โดยเฉพาะโขดหินผาของประเทศไทย เอกลักษณ์ของต้นจันผาคือมีลำต้นหนากลม ยืดสูงแตกกิ่งก้านออกมา มียอดเป็นพุ่ม เนื่องจากเป็นพืชที่เติบโตในพื้นที่แล้งได้ดี จึงมีขนาดใบเรียวเล็กยาวคล้ายใบหอก ดอกจันผามีลักษณะเป็นช่อเหมือนมะม่วงและมีกลิ่นหอม แม้ว่าจันผาจะเป็นไม้บนเขา แต่เรามักจะเห็นคนปลูกไว้หน้าบ้านเรือน ตามความเชื่อโบราณจันผาถือว่าเป็นไม้มงคล นิยมปลูกไว้หน้าบ้านเพราะมีใบเรียวเหมือนดาบไว้ฟาดฟันศัตรู และหากปลูกแล้วออกดอกออกผลเชื่อว่าจะให้ลาภก้อนโตแก่เจ้าของบ้านด้วย
(จากซ้ายไปขวา): จันทร์หอมหน้าหาดทรายของ Chula Beach ขนอม (ภาพจาก https://www.facebook.com/chulabeach/), จันทร์แดง ใน Whispering Land และ จันผาหน้า Josh Hotel (ภาพจาก https://www.facebook.com/joshhotelbangkok/)
อยู่ได้ทุกวงการ
จันผาเป็นไม้ประดับกลางแจ้ง ปัจจุบันไม้พวกนี้ รวมถึงไม้อวบน้ำอื่นๆ กำลังได้รับความนิยมสูง เนื่องจากทนต่อสภาพอากาศร้อนของบ้านเราได้ดี จึงเหมาะแก่การนำไปตกแต่งบ้านและสวนกันมาก ลุกลามไปถึงวงการร้านกาแฟยันโรงแรม ตลอดจนโฮสเทลต่างๆ ที่ต้องการพื้นที่สีเขียวภายในอาคารหรือนอกอาคารมากขึ้น จึงมองไปที่ต้นไม้มีเอกลักษณ์แต่ไม่สร้างภาระในการดูแลมากมาย จันผาก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น เราเคยเห็นบางโรงแรมปลูกจันผาไว้บนหาดทรายหน้าที่พักยังตกใจว่าต้นของมันสามารถปลูกบนหาดได้ด้วยเหรอ จนมารู้ทีหลังว่ามันสามารถปลูกตามชายหาดริมทะเลได้ เพราะเป็นไม้ทนลมแรง ทนเค็ม แต่ไม่ทนน้ำท่วมขัง หากนำไปปลูกก็ควรเลือกตำแหน่งแถวเนินทรายที่ไม่โดนน้ำทะเลซัดขึ้นมาถึง ต้นจันผาก็สามารถอยู่รอดเคียงคู่ที่พักอาศัยของคุณไปอีกนาน
เพ(ร)าะพันธุ์
แม้จันผาจะเป็นไม้ขนาดใหญ่ที่ซื้อขายกันตามท้องตลาดต้นไม้เป็นเรื่องปกติ แต่หารู้ไม่ว่าจันผาเป็นต้นไม้ที่มีกฎหมายคุ้มครอง ซึ่งจัดอยู่ในประเภทกลุ่มไม้หวงห้ามนำออกจากป่า แต่สามารถขยายพันธุ์ไว้ปลูกประดับตกแต่งบ้านเรือนได้ ส่วนการขยายพันธุ์จันผานิยมใช้วิธีการปักชำ โดยตัดหน่อหรือกิ่งของจันผาจากต้นแม่แล้วนำมาปักชำในกระถางหรือแปลงปลูกโดยตรง จันผาเป็นพืชที่เติบโตง่ายแต่ใช้เวลาในการเจริญเติบโตค่อนข้างมาก รวมถึงความยากในการหาต้นแม่พันธุ์ ถึงแม้จะบอกว่าเป็นต้นไม้ที่หลายคนนิยมปลูกไว้หน้าบ้าน แต่ก็นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับพันธุ์ไม้อื่นๆ อย่างกวักมรกตหรือลิ้นมังกร เพราะต้นจันผาส่วนมากเติบโตกลางป่าเขาหรือในอุทยานแห่งชาติต่างๆ สังเกตดูได้ว่าที่ไหนมีโขดหินเยอะๆ จะพบต้นจันผาแทรกตัวอยู่ด้วยเสมอ
แต่ก็มีอีกทางเลือกคือการปลูกแบบเพาะเมล็ด เพราะเมล็ดของจันผามักจะหล่นอยู่ตามโคนต้น เมล็ดจันผามีลักษณะกลม สุกจะกลายเป็นสีแดง แต่เมล็ดสีน้ำตาลก็สามารถเก็บมาบ่มไว้จนกลายเป็นสีแดงแล้วค่อยนำไปเพาะเมล็ดต่อในภายหลังได้เช่นกัน จันผามักจะออกดอกในช่วงหน้าฝน ข้อดีของวิธีการเพาะเมล็ดทำให้ฟอร์มของต้นจันผาสวยงาม และแข็งแรงกว่าต้นปักชำอีกด้วย
การปลูกจันผาควรปลูกในดินผสมด้วยหิน ดินเหนียวหรือลูกรังจะช่วยให้รากของจันผาแข็งแรง มีที่ให้ยึดเกาะและทนแล้งได้ดี จึงเห็นได้ว่าทำไมจันผาที่ขึ้นตามธรรมชาติมีขนาดใหญ่ทั้งลำต้นและยอด ดูแข็งแรงกว่าจันผาที่ปลูกไว้ในบ้านเสียอีก หากปลูกจันผาในดินล้วนๆ จะทำให้รากไม่แข็งแรง เพราะไม่มีที่ยึดเกาะ (นึกภาพต้นไม้ที่มีรากเกาะตามโขดหินดูสิครับ) ส่งผลไปถึงยอดอาจมีขนาดเล็กกว่าปกติได้ ดังนั้นหากคิดจะปลูกไว้หน้าบ้านควรผสมวัสดุปลูกให้เหมาะสม หรือเสริมด้วยโขดหินกำลังพอดีเพื่อให้ลำต้นเติบโตมาแบบมีที่ยึดเกาะใกล้เคียงกับธรรมชาติที่สุด
จันทร์แดง (ต้นซ้าย) อีกหนึ่งสายพันธุ์ของจันผา ตกแต่งด้านในร้าน Whispering Land
ไม้ต่างพันธุ์
สำหรับใครที่ไม่รู้จักต้นจันผาอาจสับสนได้ เพราะมีหลายต้นที่หน้าตาใกล้เคียงกัน หรือแม้แต่จันผาเองก็หลากหลายพันธุ์ อาทิ จันทร์หอมจะมีขนาดลำต้นและใบเล็กกว่าจันผา รวมถึงแตกกิ่งก้านออกมามากที่สุด, จันทร์แดงมีใบขนาดเล็กและลำต้นมีรอยแตกเป็นร่องละเอียดกว่าจันผา จันทน์ผาด่างเองก็จะมีสีเหลืองแซมขึ้นมาที่ใบมากกว่าปกติ หรือไม้จำพวกปาล์มแส้ม้า ไปจนถึงวาสนาก็นิยมนำมาปลูกประดับบ้านเช่นกัน ปาล์มแส้ม้าหรือต้นแส้ม้า ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามีลักษณะเหมือนแส้ม้า คือใบเรียวยาวเล็กกว่าจันผา กระจายรอบทิศทางคล้ายแส้ม้า อีกทั้งโคนต้นเป็นโขดขนาดกลมใหญ่ ต้นแส้ม้าเติบโตเต็มวัยจะแตกกิ่งก้านออกไป และมีลำต้นยืดสูงเช่นเดียวกับจันผา ทำให้คนอาจสับสนได้ว่านี่มันต้นอะไรกันแน่ แต่ความสวยงามนั้นเรียกได้ว่ากินกันไม่ลง
ส่วนวาสนาเองก็มีลักษณะคล้ายจันผาตรงขนาดลำต้นกลมยืดสูง มียอดเป็นพุ่มแต่ใบจะมีความหนามากกว่า และจำนวนใบน้อยกว่า วาสนาเป็นไม้มงคลเหมือนกับจันผา มีความเชื่อว่าหากใครปลูกแล้วจะมีโชคลาภ วาสนา และความสุขในชีวิต เพียงแต่ดอกของวาสนาจะออกในช่วงฤดูหนาวแทน เรียกได้ว่าถ้าเราปลูกทั้งจันผาและวาสนา อาจได้กลิ่นหอมของดอกจากต้นทั้งสองตลอดฤดูฝนและฤดูหนาวเลยทีเดียว
หวานเป็นลมขมเป็นยา
ขึ้นชื่อว่าไม้ไทยย่อมต้องพ่วงมาด้วยคุณสมบัติของยารักษาโรคอยู่ด้วย ซึ่งหากใครเคยลองค้นข้อมูลดูว่าจันผามีสรรพคุณอะไรบ้าง จะเห็นได้เลยว่าลิสต์ยาวเป็นหางว่าวจนไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะใช้สรรพคุณของมันหมดหรือเปล่า อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งเมล็ด ราก ใบยันแก่นลำต้น เรียกได้ว่ามีประโยชน์รอบตัวจริงๆ แต่อันหนึ่งที่เราอ่านแล้วประหลาดใจ คือจันผาเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่นำไปใช้ทำน้ำยาอุทัยด้วย โดยใช้ส่วนของลำต้นที่เกิดบาดแผลจนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง และนำไปผสมกับส่วนประกอบอื่นๆ
แม้ต้นจันผาจะดูเหมือนไม้ประดับที่ถูกลืม แต่ในวงการต้นไม้ก็ยังให้จันผาเป็นไม้ที่สร้างมูลค่าได้อยู่ โดยเฉพาะต้นที่โตเต็มวัยมีฟอร์มได้มาตรฐานก็ขายกันหลักพันหลักหมื่นเลยทีเดียว แถมยังเป็นไม้ทนทาน สามารถปลูกได้หลากหลายพื้นที่ โดยเฉพาะต้นที่แข็งแรงแล้วสามารถอยู่ได้แม้ขาดน้ำหลายสัปดาห์ ถึงจะแลกมาด้วยระยะเวลาในการปลูกค่อนข้างมาก แต่นี่คือต้นไม้ที่ใช้เวลาสร้างคุณค่าและความสวยงามอย่างแท้จริง
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์