ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เสนอมุมมองเชิงนโยบายต่อภาครัฐ ข้อกังวล และข้อเสนอแนะ ตลอดจนความคาดหวังต่อ ผู้ว่าฯ ธปท. คนต่อไป
โดยสำหรับรัฐบาลใหม่ ดร.เศรษฐพุฒิ คาดหวังว่า รัฐบาลจะเน้นการสร้างแรงจูงใจให้เอกชนปรับตัวและเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ระยะยาว พร้อมกับลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ (Regulatory Guillotine) รวมไปถึงให้ความสำคัญกับเสถียรภาพการคลัง
พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลใหม่ ซึ่งคาดว่า จะยุบสภาภายใน 4 เดือน อันดับแรก ควรความสำคัญกับเสถียรภาพทางการคลัง เนื่องจากตอนนี้ ไทยถูกปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือแล้ว ดังนั้น การดำเนินมาตรการอะไรจึงจำเป็นต้องอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง
ส่วนประการที่สอง ที่รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญคือ การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวควบคู่กับระยะสั้น
“ไม่ว่าจะทำมาตรการสั้น กลาง ยาวอะไร ก็ขอให้อย่าเพี้ยนไปจากกรอบการคลังหรือแผนการคลังระยะปานกลางที่ได้ทำไว้
นอกจากนี้ ผมเข้าใจว่ารัฐบาลอยู่แค่ 4 เดือน อาจจะมุ่งเน้นนโยบายระยะสั้นอย่างเดียว แต่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างก็ต้องทำ เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ทำแต่เรื่องสั้น แต่ถ้าอยากให้คนเลือกเรากลับ เราต้องทำเรื่องยาวด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี” ดร.เศรษฐพุฒิ
แนะมาตรการระยะสั้นต่างๆ ‘อย่าอยู่ยาว’
สำหรับโครงการ ‘คนละครึ่ง’ หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอื่นๆ ดร.เศรษฐพุฒิ ฝากให้รัฐบาลใหม่คำนึงถึงเสถียรภาพทางการคลังในระยะกลาง เนื่องจากตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รายได้รัฐบาลโตไม่ทันรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาวะการคลังที่มีแนวโน้มขาดดุลมากขึ้น ตลอดจนหนี้สาธารณะที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อเครดิตเรตติ้งของไทย
นอกจากนี้ ดร.เศรษฐพุฒิยังแสดงความกังวลต่อความเสี่ยงที่ประชาชนจะเสพติดมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ โดยยกตัวอย่างของกรณีการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หลังจากไทยเผชิญวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยในขณะนั้น มีมติให้ลด VAT ลงชั่วคราวเพียง 2 ปี จาก 10% เป็น 7% อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวกลับถูกขยายระยะเวลาอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบัน
แนะปรับโครงสร้าง แก้เหลื่อมล้ำ
ไม่เพียงเท่านั้น ดร.เศรษฐพุฒิยังฝากภาครัฐ ถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพียงแต่ไม่ได้รับความสนใจมากพอ หากทำได้ดี ก็เป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง
“ผมเข้าใจ รัฐบาลอยู่อีก 4 เดือน ก็จะทำนโยบายระยะสั้นอย่างเดียว แต่ลองคิดอีกแบบนึงไหม ระยะสั้นก็ต้องทำ หรือถ้าอยากให้คนเลือกเรากลับมาอีก ระยะยาวก็ทำด้วยเลย”
โดยเฉพาะปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งเปรียบดั่งโรคเรื้อรังที่ต้องเร่งรักษา เมื่อพิจารณาตัวเลขอย่างเป็นทางการจะพบว่า กลุ่มคนรวยสุด 1% บน คิดเป็น 2.4 แสนครัวเรือน มีสินทรัพย์มากกว่า กลุ่มคนรายได้ระดับล่างสุดถึง 13 ล้านครัวเรือน
อย่างไรก็ตาม ดร.เศรษฐพุฒิชี้ว่า เมื่อเฉลี่ยรายได้ของประชากรกลุ่ม 1% บนออกมาพบว่า มีรายได้เฉลี่ยเพียง 21 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งดร.เศรษฐพุฒิชี้ว่ายังไม่สะท้อนมูลค่าแท้จริง เมื่อเทียบกับการจัดอันดับรายได้จากแหล่งอื่นๆ
ฝากนโยบายระยะยาวถึงผู้ว่าคนต่อไป
ทั้งนี้ ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยหารือกับ วิทัย รัตนากร ว่าที่ผู้ว่า ธปท. คนต่อไปเป็นการส่วนตัวอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องประกาศผ่านสื่อ
แต่หากจะต้องฝากฝังจริงๆ ก็อยากให้เป็นเรื่องของมาตรการระยะยาวเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการผลักดันกลไกการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สอดคล้องกับความเสี่ยงของผู้กู้ (Risk-based pricing: RBP) และโครงการ Your Data ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งสร้างกลไกให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิส่งข้อมูลของตนที่อยู่ทั้งในและนอกภาคการเงินผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อให้ได้รับบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์มากขึ้น
นอกจากนี้ ดร.เศรษฐพุฒิยังกล่าวว่า หวังว่า จะเห็นภาคการเงินเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนของกลุ่มรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs เพื่อช่วยในการปรับตัว เช่น สนับสนุนกลไกค้ำประกันเครดิตให้ยืดหยุ่นขึ้น
ย้ำธนาคารกลางต้องเป็นอิสระ
สุดท้ายนี้ ดร.เศรษฐพุฒิ ยังคงเน้นย้ำถึงความเป็นอิสระของรัฐบาลกลาง โดยชี้ว่าความเป็นอิสระของธนาคารกลางเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะหากแทรกแซงจนธนาคารกลางไร้ความเป็นอิสระ ก็อาจเกิดเหตุการณ์เฉกเช่นตุรกี และศรีลังกา ซึ่งนำไปเกิดวิกฤตเงินเฟ้อรุนแรงได้