ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างมากในวันศุกร์ (26 พฤศจิกายน) หลังหวั่นไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่พบในแอฟริกาใต้ โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงกว่า 905.04 จุด หรือ 2.53% กลายเป็นเป็นวันที่แย่ที่สุดของปี ซึ่งปิดที่ 34,899.34 ด้าน S&P 500 ลดลง 2.27% ปิดที่ 4,594.62 ในขณะที่ Nasdaq Composite ลดลง 2.23% ปิดที่ 15,491.66
การลดลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกได้เตือนถึงโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่พบในแอฟริกาใต้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กลัวว่าอาจมีการดื้อต่อวัคซีนเพิ่มขึ้น โดยล่าสุด WHO ถือว่าสายพันธุ์ใหม่นี้เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล และตั้งชื่อว่า Omicron (ออมิครอน)
ตลาดเอเชียได้รับผลกระทบอย่างหนักในการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ โดยดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่น และดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง ตกลงมากกว่า 2% ส่วนดัชนี DAX ของเยอรมนีลดลงมากกว่า 4% ด้าน Bitcoin ลดลง 8%
ดัชนีความผันผวนของ CBOE ซึ่งมักเรียกกันว่า ‘มาตรวัดความกลัว’ ของวอลล์สตรีท เพิ่มขึ้นเป็น 28 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน ราคาน้ำมันก็ร่วงลงเช่นกัน โดยราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐฯ ร่วงลง 12% และทะลุระดับต่ำกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางได้รับผลกระทบมากที่สุด โดย Carnival Corp. และ Royal Caribbean ลดลง 11% และ 13.2% ตามลำดับ, United Airlines ลดลงมากกว่า 9% ในขณะที่ American Airlines ลดลง 8.8%, Boeing ลดลงมากกว่า 5% และ Marriott International ลดลงเกือบ 6.5%
หุ้นธนาคารปรับตัวลงจากความกลัวกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง Bank of America ร่วง 3.9% และ Citigroup ร่วง 2.7% ขณะที่อุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกต่างก็ลดลงเช่นกัน นำโดย Caterpillar ลดลง 4% Chevron ลดลง 2.3% เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานมักตอบสนองต่อราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นลง
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันนักลงทุนหันไปสนใจในบริษัทที่เป็นผู้ผลิตวัคซีนมากขึ้น หุ้น Moderna พุ่งขึ้นมากกว่า 20% หุ้น Pfizer เพิ่มขึ้น 6.1%
อ้างอิง: