สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวทำสถิติสูงสุดตลอดกาลระลอกใหม่เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 64.35 จุด (0.20%) ปิดที่ 31,552.75 จุด ดัชนีเอสแอนด์พีลดลง 2.24 จุด (0.06%) ปิดที่ 3,932.59 จุด และดัชนีแนสแดคลดลง 47.98 จุด (0.34 %) ปิดที่ 14,047.50 จุด
รายงานระบุว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งนี้ เป็นผลจากแนวโน้มแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ที่จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจอเมริกาจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยคาดการณ์ว่าภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวก็คือ พลังงานและการเงิน ซึ่งมีการขยับขึ้นมากที่สุดในวันอังคาร (16 กุมภาพันธ์)
โดยขณะนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังเร่งผลักดันร่างกฎหมายเยียวยาผลกระทบโควิด-19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมเดินหน้ากดดันสภาคองเกรสให้เห็นชอบในมาตรการดังกล่าว เพื่อให้รัฐจัดการมอบเช็ค 1,400 ดอลลาร์สหรัฐแก่ชาวอเมริกัน และเพิ่มเงินชดเชยแก่คนตกงานภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ดัชนีแนสแดค คอมโพสิต กลับขยับลดลง เพราะถูกฉุดจากหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี
วันเดียวกัน ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูงสุดรอบ 13 เดือน เหตุจากสภาพอากาศหนาวเหน็บทางใต้ของสหรัฐฯ กระทบกำลังผลิตและการกลั่น โดยสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส งวดส่งมอบเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 58 เซนต์ ปิดที่ 60.05 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ด้านน้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 5 เซนต์ ปิดที่ 63.35 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าววงในระบุว่า ราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้นนี้ทำให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) มีแนวโน้มจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมการผลิต เพื่อเปิดทางให้ชาติสมาชิกผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดมากขึ้นหลังเดือนเมษายน กระนั้น กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก เนื่องจากยังมีปัญหาการระบาดที่ส่งผลต่อความต้องการบริโภคน้ำมันอยู่
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: