นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลก (Doomsday Glacier) มีแนวโน้มที่จะสูญเสียพื้นที่ยึดเกาะกับก้นทะเลเพิ่มขึ้นอีกอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวล เพราะการถล่มหรือละลายตัวของน้ำแข็งอาจทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นได้ถึง 10 ฟุต
ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลกมีขนาดพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 1.92 แสนตารางกิโลเมตร หรือเทียบได้กับขนาดของประเทศอังกฤษหรือรัฐฟลอริดาของสหรัฐอเมริกา โดยที่ผ่านมาธารน้ำแข็งขนาดยักษ์นี้มีความอ่อนไหวต่อสภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงของมหาสมุทร โดยผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature Geoscience เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (5 กันยายน) ระบุว่า ในอดีตธารน้ำแข็งนี้เคยเกิดการละลายตัวรวดเร็วอย่างน่าตกใจ
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในช่วง 2 ศตวรรษที่ผ่านมานั้น เคยเกิดเหตุการณ์ที่เขตน้ำแข็งที่หลุดจากจุดยึดเกาะพื้นดิน (Grounding Zone) ละลายตัวมากกว่า 2.1 กิโลเมตรต่อปี เนื่องจากกระแสน้ำอุ่นกัดเซาะฐานของธารน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำด้านล่าง ซึ่งเป็นอัตราการละลายตัวที่รวดเร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์สังเกตมาในช่วง 10 ปีนี้ถึงสองเท่าตัว
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นบ่งชี้ว่า ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลกมีแนวโน้มที่จะละลายตัวอย่างรวดเร็วอีกในอนาคต โดย โรเบิร์ต ลาร์เตอร์ นักธรณีฟิสิกส์ทางทะเล กล่าวว่า “ทุกวันนี้ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลกถูกยื้อไว้ที่เพียงปลายเล็บ และเราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อธารน้ำแข็งละลายตัวร่นถอยเลยสันเขาพื้นทะเล หรือในเวลาอีกเพียงไม่กี่ปี”
นี่เป็นอีกครั้งที่อุณหภูมิที่สูงขึ้นจากภาวะโลกรวนได้ส่งผลกระทบต่อโลกของเราอย่างมหาศาล โดยก่อนหน้านี้มีงานวิจัยที่ระบุว่า มีโอกาสเพียง 0.1% ที่เราจะสามารถจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยไม่ให้เพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี 2100 อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นเกือบแตะที่ระดับ 2 องศาเซลเซียส ภายในปี 2050 ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่าวิตก ซึ่งเราทุกคนควรร่วมมือกันรักษาสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วันนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงอีกในอนาคต
แฟ้มภาพ: Robert Larter Via CNN
อ้างอิง: