หนังเรื่อง Don’t Look Up ของ Adam McKay (The Big Short, Vice) ซึ่งสตรีมทางช่อง Netflix เริ่มต้นวันคริสต์มาสอีฟนี้ เป็นหนังจำพวกที่เรียกว่า High Concept หรือหนังที่นอกจากมีจุดขายชัดเจน และพล็อตเรื่องที่เรียกร้องความสนใจอย่างฉับพลัน เนื้อหายังสามารถสรุปได้สั้นๆ ในสองหรือสามประโยค ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว มักจะเล่นกับเงื่อนไข ‘อะไรจะเกิดขึ้น ถ้า…’
ในกรณีของ Don’t Look Up ได้แก่ “อะไรจะเกิดขึ้น ถ้านักดาราศาสตร์พบดาวหางขนาดมหึมากำลังจะพุ่งชนโลกในอีกหกเดือน และอานุภาพทำลายล้างของมันมากมายมหาศาลขนาดทำให้มวลมนุษยชาติจบสิ้น แต่จนแล้วจนรอด กลับไม่มีใครถือสาเป็นเรื่องจริงจัง นั่นรวมถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ”
ขณะที่ส่วนที่เรียกว่าเป็นจุดขายของหนังก็ไม่มีทางที่ใครจะมองไม่เห็น และไม่ว่าผู้สร้างจะหยิบยืมธรรมเนียมปฏิบัติของหนังแนวหายนะช่วงทศวรรษ 1970 (พวก เรือนรก, ตึกนรก, เที่ยวบินมฤตยู) ซึ่งมักจะอัดแน่นไว้ด้วยขบวนพาเหรดของดารามาเป็นต้นแบบหรือไม่ อย่างไร Don’t Look Up เป็นหนังที่แค่เห็นรายชื่อของนักแสดง น้ำย่อยในกระเพาะอาหารก็ปั่นป่วนเสียแล้ว และไล่เลียงรายชื่อกันไม่หวาดไม่ไหว ตั้งแต่ Leonardo DiCaprio, Meryl Streep, Jennifer Lawrence, Cate Blanchett, Ariana Grande, Timothée Chalamet, Jonah Hill ฯลฯ เป็นต้น
กระนั้นก็ตาม บรรดาซูเปอร์สตาร์ราคาแพงในหนังของ Adam McKay ก็ไม่ได้มาเฉิดฉายในฐานะคนเด่นคนดังเพียงอย่างเดียว แต่ละคนล้วนสร้างทั้งความหรรษา ครื้นเครง และความปวดแสบปวดร้อนให้กับคาแรกเตอร์ที่พวกเขาสวมบทบาทอย่างถึงพริกถึงขิงทีเดียว
โดยปริยาย หนังเรื่อง Don’t Look Up จึงไม่อาจเรียกว่าเป็นหนังแนวหายนะเสียทีเดียว และใครที่ติดตามหนังของ Adam McKay มาตั้งแต่เริ่มแรก (The Big Short, Vice) ก็คงบอกได้ว่าเขาเป็นมือวางอันดับต้นๆ ของการทำหนังตลกร้ายแนวจิกกัด เสียดสีและเย้ยหยันสังคม และอารมณ์ขันของเขาทั้งคมกริบและบาดลึกในระดับที่หลายครั้งหลายครา พวกเราไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ก่อนดี
ด้วยเหตุนี้เอง ดาวหางขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางห้าถึงสิบกิโลเมตรที่วงโคจรของมันพุ่งตรงมาที่โลกอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง และระดับของความเสียหายเข้าขั้นทำให้สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ถูกกวาดล้างสิ้นซาก จึงเป็นเพียงข้ออ้างที่เปิดโอกาสให้คนทำหนังได้ใช้เป็นช่องทางวิพากษ์วิจารณ์หลายสิ่งหลายอย่างพร้อมๆ กัน ทั้งกลไกทางสังคมที่ง่อยเปลี้ยเสียขา ความโลภโมโทสันของซีอีโอบริษัท ‘ยักษ์ใหญ่ใจดี’ ไปจนกระทั่งถึงความโง่เขลาเบาปัญญาของผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่นำพาต่อหายนะที่มาจ่อถึงคอหอย ซึ่งใครลองปะติดปะต่อเล่นๆ ทั้งหมดทั้งมวลที่หนังนำเสนอก็ละม้ายคล้ายคลึงกับความเป็นไปในโลกความจริงอย่างชนิดที่ลากเส้นประเชื่อมโยงได้ไม่ยากเย็น
นั่นทำให้ไม่มากไม่น้อย ข้อความที่แฝงด้วยเลศนัยในหนังตัวอย่างของ Don’t Look Up ที่บอกว่า หนังเรื่องนี้ ‘สร้างจากเหตุการณ์จริงที่ยังไม่เกิดขึ้น’ ก็อาจจะฟังดูไม่ใช่ประโยคยียวนกวนประสาทตามขนบปฏิบัติของหนังตลกร้ายเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว ข้อสำคัญ เหตุการณ์จริงที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นในที่นี้ก็ไม่น่าจะหมายถึงเพียงแค่ปรากฏการณ์ดาวหางพุ่งชนโลก ซึ่งในทางสถิติแล้วมีความเป็นไปได้ ทว่ามันอาจหมายถึงรูปการณ์ที่ผู้คนในสังคมมีแนวโน้มที่จะรับมือกับภัยพิบัติที่กำลังมาเยือน ซึ่งยิ่งเวลาผ่านพ้นไป สถานการณ์ก็ยิ่งดูเหลวไหลไร้สาระ บ้อบอคอแตก และประสาทเสียมากขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งที่หนังละไว้ฐานเข้าใจก็คือ นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าเชื่อว่าคงจะเกิดขึ้นแน่ๆ ในกรณีที่วันสุดท้ายของโลกมาเยือน
หรือก็อย่างที่ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนหน้า บางที มันอาจจะกำลังเกิดอยู่ก็เป็นไปได้
ไม่ว่าจะอย่างไร ความท้าทายของหนังเรื่อง Don’t Look Up อยู่ตรงที่มันพยายามเดินอยู่บนเส้นลวดของเสียงหัวเราะและเรื่องคอขาดบาดตาย มันดูราบรื่นและรักษาสมดุลได้สวยสดงดงามในช่วงราวๆ สองในสามของเรื่อง Jennifer Lawrence รับบท Kate Dibiasky นักศึกษาดาราศาสตร์ระดับปริญญาเอก ผู้ซึ่งเป็นคนแรกที่ค้นพบดาวหางมฤตยูดวงนี้ และได้รับเกียรติให้ใช้นามสกุลของเธอตั้งเป็นชื่อดาวหาง ซึ่งก็พูดลำบากว่าเป็นเรื่องน่ายินดีแค่ไหน เพียงใด เพราะมองอีกมุมหนึ่ง นามสกุลของเธอถูกนำไปใช้ขนานนามดาวหางมรณะ ส่วน Leonardo DiCaprio เป็น Dr. Randall Mindy อาจารย์ที่ปรึกษาของ Kate ผู้ซึ่งจากที่หนังให้เห็น ทั้งตัวเขาและ Kate อยู่ในอาการสติแตก และประสาทแ-กพอกันในทันทีที่รับรู้ผลลัพธ์อันน่าตื่นตระหนกจากการคำนวณวิถีโคจรของดาวหาง
แต่ก็นั่นแหละ ความวายป่วงที่แท้จริงของหนังเริ่มต้นหลังจากที่พวกเขาพยายามจะสื่อสารข้อเท็จจริงอันสุดแสนเรียบง่ายนี้ให้ประธานาธิบดีหญิงสหรัฐฯ ได้รับรู้ ซึ่งสวมบทได้อย่างเจ้าเล่ห์แสนกล และคิดคำนวณโดย Meryl Streep ด้วยหวังว่ารัฐบาลของเธอจะลงมือทำอะไรสักกอย่างเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่คับขันและจวนเจียน และตรงไหนสักแห่งแถวนี้เองที่หนังของ McKay ถ่ายทอดให้ผู้ชมมองเห็นถึงความบิดเบี้ยวและพิกลพิการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง หรืออีกนัยหนึ่ง ทุกคนล้วนแล้วมาพร้อมกับวาระแอบแฝงหรือเจตนาซ่อนเร้นทั้งสิ้น
ตั้งแต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่พยายามประวิงเวลาของข่าวร้ายนี้ เพราะมันส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมซึ่งตกต่ำอยู่แล้วจากเรื่องอื้อฉาวส่วนตัว (ทั้งๆ ที่ถ้าดาวหางถล่มโลกจริงๆ คะแนนนิยมก็คงจะไม่มีความหมายอีกต่อไป) หรือรายการข่าวชื่อดังทางโทรทัศน์ที่จัดลำดับความสำคัญของเหตุการณ์หายนะนี้ไว้หลังข่าวปัญญาอ่อนของนักร้องสองคนที่เลิกรา และกลับมาคืนดีกันแบบกลางอากาศอีกครั้ง และนโยบายหลักของช่องข่าวนี้คือย่อยทุกอย่างให้ดูง่ายและเบาสมอง และนั่นรวมถึงเรื่องการสูญพันธุ์ของมวลมนุษยชาติ หรือตัวผู้ประกาศข่าวหญิง (Cate Blanchett) ที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ไม่ได้แคร์เรื่องวันสิ้นโลกเท่ากับโอกาสที่จะได้งาบนักดาราศาสตร์หนุ่มใหญ่เป็นของขบเคี้ยวยามว่าง
ว่าไปแล้ว ข้อจำกัดของหนัง Adam McKay สำหรับผู้ชมบ้านเราอยู่ตรงที่ตัวหนังสื่อสารโดยตรงกับกลุ่มคนดูซึ่งเป็นอเมริกัน และใครที่อยากเข้าถึงก็ต้องมีพื้นเพภูมิหลังหรือประสบการณ์ร่วมพอสมควร อย่างเรื่อง The Big Short ก็เป็นหนังเสียดสีวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ในช่วงปลายทศวรรษ 2000 หรือ Vice ก็เล่าเรื่องของ Dick Cheney ผู้ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวจริงที่ชักใยเบื้องหลัง George W. Bush
และจากคำให้สัมภาษณ์ของ Adam McKay ตำบลกระสุนตกที่หนังเรื่อง Don’t Look Up พุ่งเป้าโจมตี ก็คือความ ‘อิกนอแรนต์’ ของสังคมอเมริกันต่อมหันตภัยที่มองเห็นโทนโท่ ซึ่งก็คือปรากฏการณ์โลกร้อนที่เป็นปัญหาสาหัสสากรรจ์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็อย่างที่หลายคนคงบอกได้เหมือนกันว่า นี่ไม่ได้เป็นเรื่องจำเพาะของคนอเมริกันเพียงอย่างเดียว หรืออีกนัยหนึ่ง พวกเขาไม่ได้ผูกขาดความเพิกเฉยหรือแม้กระทั่งโง่เขลาเบาปัญญา และบางที นี่อาจจะเป็นลักษณะร่วมของมวลมนุษยชาติ เพราะไม่อย่างนั้น พวกเราชาวโลกก็คงไม่พากันมายืนอยู่ตรงปากเหวแบบนี้
แต่ก็นั่นแหละ ด้วยกาลเทศะที่หนังเรื่อง Don’t Look Up ออกฉาย (ซึ่งก็คือตอนนี้) น่าเชื่อว่าผู้ชมคงจะไม่ได้เทียบเคียงดาวหางเพชรฆาตกับปัญหาโลกร้อนเท่ากับโรคระบาดที่กำลังคุกคามสวัสดิภาพของคนทุกหย่อมหญ้า ตลกร้ายที่หัวเราะไม่ออกก็คือ ไม่ว่าบริบทจะเปลี่ยนจากสภาพภูมิอากาศเป็นเชื้อไวรัสอย่างไร คำตอบสุดท้ายก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
ส่วนที่เจ็บปวดแสบสันและโยงใยอยู่กับโลกความเป็นจริงอย่างโหดร้าย ได้แก่ การที่คนทำหนังให้เห็นว่าจนแล้วจนรอด ความอิกนอแรนต์นี้ไม่ได้ ‘ได้มาเพราะโชคช่วย’ และคนเหล่านี้มีวิธีสร้างความถูกต้องชอบธรรมให้กับความดื้อด้าน และสันขวานของตัวเองด้วยเหตุผลอันสุดแสนวิบัติ ในกรณีของ Don’t Look Up มันก็อยู่ในชื่อเรื่องนั่นเอง หมายความว่าหนทางง่ายๆ ในการแก้ปัญหาดาวหางโลกาวินาศก็เพียงแค่อย่าเงยหน้าขึ้นไปมอง เพราะนี่เป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานของอเมริกันชน (ซึ่งพ้องพานกับตรรกะของพวกต่อต้านวัคซีนอย่างน่าอัศจรรย์)
อย่างที่กล่าวก่อนหน้า พิษสงของการเหน็บแนมถากถางออกฤทธิ์อย่างได้ผลชะงัดราวๆ สององก์แรก น่าเสียดายที่ตอนจบของหนังไม่ได้พาผู้ชมไปแบบสุดลิ่มทิ่มประตูเหมือน Dr. Strangelove ของ Stanley Kubrick หรือ Melancholia ของ Lars von Trier ทำนองว่าคนทำหนังยังพะวักพะวนอยู่กับการหาบทสรุปที่ลงเอยแบบปลอบโยนความรู้สึกผู้ชม อันส่งให้รวมๆ แล้ว หนังเรื่องนี้เหมือนรถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็วสูง แต่แล้วจู่ๆ คนขับก็กลับผ่อนคันเร่ง หรือกระทั่งแตะเบรกช่วงใกล้ถึงเส้นชัย
กระนั้นก็ตาม ประมวลรวมๆ และเร็วๆ แล้ว หนังเรื่อง Don’t Look Up ก็บรรลุเป้าประสงค์ในการวาดภาพที่โน้มน้าวชักจูงมากๆ ว่า ถ้าหากหายนะแบบนี้มาเยือน พวกเราคงไม่รอด และยังเป็นเรื่องน่าโล่งอกตรงที่เหตุการณ์ที่โลดแล่นเบื้องหน้าเป็นเพียงแค่ ‘เรื่องจริงที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น’
แต่ก็อีกนั่นแหละ พอมานึกทบทวนดูอีกที หรือจริงๆ แล้ว ดาวหางมันแอบซ่อนอยู่หลังก้อนเมฆ
Don’t Look Up (2021)
กำกับ – Adam McKay
ผู้แสดง – Leonardo DiCaprio, Meryl Streep, Jennifer Lawrence, Cate Blanchett, Ariana Grande, Timothée Chalamet, Jonah Hill ฯลฯ