×

สรุป 5 ประเด็น ทรัมป์ขึ้นศาลในฐานะจำเลย หลังถูกฟ้องข้อหา ‘อาญาร้ายแรง’ 34 กระทง

05.04.2023
  • LOADING...
โดนัลด์ ทรัมป์

อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรากฏตัวในห้องพิจารณาคดีของศาลพิพากษาย่านแมนฮัตตันตอนล่าง ในนครนิวยอร์ก วานนี้ (4 เมษายน) ตามเวลาท้องถิ่น หลังถูกคณะลูกขุนใหญ่สั่งฟ้องเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในข้อหาอาญาจากการปลอมแปลงเอกสารบันทึกทางธุรกิจ โดยมีเจตนาปกปิดพฤติกรรมผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังผู้ใหญ่ ช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 

 

เอกสารคำฟ้องที่เปิดเผยออกมาชี้ว่าทรัมป์ปลอมแปลงบันทึกทางธุรกิจในนิวยอร์ก ‘ซ้ำแล้วซ้ำอีก’ เพื่อปกปิดความผิดทางอาญา

 

การฟ้องร้องที่เกิดขึ้นทำให้ทรัมป์กลายเป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ขึ้นศาลในฐานะจำเลยคดีอาญา ซึ่งเขาให้การปฏิเสธความผิดข้อหาอาญาร้ายแรงจำนวน 34 กระทงที่คณะลูกขุนใหญ่ตั้งขึ้น 

 

และนี่คือรายละเอียดสำคัญ 5 ประเด็นจากการขึ้นศาลของทรัมป์ในครั้งนี้

 

1. ข้อหาอาญาร้ายแรง 34 กระทง มาจากวิธีบันทึกการจ่ายเงินให้ทนายความในช่วงเวลาที่ต่างกัน 34 ครั้ง

 

  • การฟ้องร้องทรัมป์ครั้งนี้ มีศูนย์กลางอยู่ที่เรื่องความพยายามของทรัมป์ในการจ่ายเงินจำนวน 1.3 แสนดอลลาร์ให้แก่ สตอร์มี แดเนียลส์ (Stormy Daniels) ดาราหนังผู้ใหญ่ ช่วงก่อนที่เขาจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 เพื่อที่เธอจะไม่ออกมาแฉว่าเคยมีความสัมพันธ์นอกสมรสกับทรัมป์ในปี 2006 

 

  • ประเด็นในคดีนี้เกิดขึ้นหลัง ไมเคิล โคเฮน ที่ขณะนั้นเป็นทนายความของทรัมป์ จ่ายเงินให้กับแดเนียลส์ช่วงปลายเดือนตุลาคม 2016 ก่อนจะถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพียงไม่กี่วัน ก่อนที่ Trump Organization บริษัทของทรัมป์ จะจ่ายเงินคืนให้แก่โคเฮน และให้เงินโบนัสแก่เขาเป็นรางวัลรวม 4.2 แสนดอลลาร์ 

 

  • ที่มาของจำนวนเงินที่จ่ายคืนนี้ ถูกระบุไว้ในคำแถลงข้อเท็จจริงของสำนักงานอัยการเขตแมนฮัตตัน อัลวิน แบรกก์ (Alvin Bragg) ซึ่งให้รายละเอียดว่า โคเฮนกล่าวอ้างว่ามีการตกลงในการหารือกับทรัมป์ และอัลเลน ไวส์เซลเบิร์ก (Allen Weisselberg) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน (CFO) ของบริษัท Trump Organization ที่เห็นว่าเขาควรได้รับเงิน 4.2 แสนดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เพียงพอสำหรับการชดเชยการเพิ่มขึ้นของภาษีเงินได้ของรัฐบาลกลางที่เขาต้องจ่าย

 

  • ขณะที่จำนวนเงินทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในใบแจ้งยอดธนาคาร (ที่รวมอยู่ในเอกสารหลักฐาน) และได้รับการเห็นชอบจากทรัมป์ ในการพูดคุยกับโคเฮน ที่ห้องประชุมรูปไข่ภายในทำเนียบขาวหลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ก่อนที่จะมีการชำระคืนเงินดังกล่าวเป็นเช็ครายเดือน ซึ่งมีการบันทึกโดย Trump Organization ว่า เป็นค่าจ้างทนายความรายเดือนของโคเฮน

 

  • นั่นจึงเป็นที่มาของการเรียกเก็บเงิน 34 รายการ มีการชำระเงินให้แก่โคเฮน 11 ครั้งในแต่ละเดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-ธันวาคม 2017 โดยการชำระเงินแต่ละครั้งจะถูกบันทึกไว้ในเช็คและในบัญชีแยกประเภท และระบุว่าเป็นการจ่ายค่าจ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อตกลงการว่าจ้างที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม 

 

  • สำนักงานอัยการของแบรกก์ ชี้ว่าการกระทำในลักษณะดังกล่าวเป็นเหตุให้ทรัมป์โดนฟ้องร้องในข้อหาปลอมแปลงบันทึกเอกสารทางธุรกิจในระดับ 2 ซึ่งถือเป็นความผิดทางอาญา (Misdemeanor) จำนวน 34 กระทง และเนื่องจากการปลอมแปลงมีจุดประสงค์เพื่อปกปิดการกระทำความผิดทางอาญาอื่นๆ จึงยกระดับข้อหากลายเป็นความผิดทางอาญาร้ายแรง (Felony)

 

3. การจ่ายเงินผิดกฎหมายคือปมยกระดับข้อหาอาญาร้ายแรง 

 

  • แถลงข้อเท็จจริงจากสำนักงานอัยการของแบรกก์ ยังชี้ให้เห็นรายละเอียดการจ่ายเงินที่กลายเป็นประเด็น โดยสรุปว่าโคเฮนและเดวิด เพ็คเกอร์ (David Pecker) อดีตซีอีโอของ American Media, Inc. (AMI) ผู้จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ National Enquirer ถูกกล่าวหาว่าทำงานร่วมกับทรัมป์ ในการจัดการเรื่องการจ่ายเงินให้กับหลายฝ่าย ซึ่งรวมถึงแดเนียลส์ และผู้หญิงอีกคน คือ คาเรน แมคดูกัล (Karen McDougal) อดีตนางแบบนิตยสาร PLAYBOY ที่ได้รับเงิน 1.5 แสนดอลลาร์จาก AMI ตามข้อตกลงซื้อเรื่องราวความสัมพันธ์ต่อเธอและทรัมป์ และพนักงานเปิดประตูของ Trump Tower ที่ได้รับเงิน 3 หมื่นดอลลาร์ และเคยมีการรายงานข่าวเรื่องนี้ไปเมื่อปี 2018

 

  • ในเชิงนามธรรมนั้น การที่บริษัทอย่าง AMI จ่ายเงินให้กับแมคดูกัลหรือพนักงานเปิดประตูเพื่อซื้อเรื่องราวบางอย่างนั้น เป็นการดำเนินการ ‘ปิดปาก’ ที่ถูกกฎหมาย หากว่าพวกเขาต้องการขายสิทธิในเรื่องราวนั้นให้แก่บริษัทเอกชน ซึ่งสามารถทำได้

 

  • แต่สำนักงานอัยการของแบรกก์ กล่าวหาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการละเมิดกฎหมาย ดังนั้นจึงตั้งข้อหาปลอมแปลงเอกสารทางธุรกิจที่เป็นความผิดทางอาญาร้ายแรง และให้คำอธิบายสำหรับข้อสรุปในการตั้งข้อหาไว้ 2 ประการ ได้แก่

 

    1. กฎหมายการเลือกตั้งของรัฐนิวยอร์ก กำหนดให้การสมรู้ร่วมคิดเพื่อส่งเสริมผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมายถือเป็นอาชญากรรม
    2. มีข้อบ่งชี้เกี่ยวกับวิธีการที่ผิดกฎหมายหลายอย่าง รวมถึงการเพิ่มรายการเดินบัญชี (Statement) ปลอม ซึ่งรวมถึงรายการเดินบัญชีที่วางแผนจะส่งให้กับหน่วยงานด้านภาษี

 

  • แถลงข้อเท็จจริง ยังตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำดังกล่าวอาจผิดกฎหมายเลือกตั้งของรัฐบาลกลางเกี่ยวกับข้อจำกัดว่าด้วยการบริจาคด้วย

 

  • โดยการตั้งข้อหาอาญาของรัฐบาลกลางนั้นมีความคลุมเครือน้อยกว่า คือหากการจ่ายเงินของผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือตัวแทนในการหาเสียง มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องราวเชิงลบออกมาก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง จะเท่ากับว่าการจ่ายเงินนั้นเป็นการใช้จ่ายทางการเมือง และหากเป็นการใช้จ่ายทางการเมืองก็จะต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดว่าด้วยการบริจาคและข้อกำหนดในการรายงานการใช้จ่าย

 

  • แต่ชัดเจนว่าการจ่ายเงินเหล่านี้ไม่ได้ถูกรายงาน จึงเกิดคำถามทางกฎหมายโยงไปที่ประเด็นว่า ‘การจ่ายเงินนั้นมีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวหรือมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งหรือไม่?’ 

 

  • ที่ผ่านมา ทรัมป์ไม่เคยถูกตั้งข้อหาอาญาทั้งจากรัฐหรือรัฐบาลกลาง ในขณะที่โคเฮนรับสารภาพความผิดในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินทั้งของแมคดูกัลและแดเนียลส์ 

 

  • ส่วนซีอีโอของ AMI ก็ยอมรับต่ออัยการของรัฐบาลกลาง ว่ามีส่วนร่วมในความพยายามที่จะจ่ายเงินเพื่อโน้มน้าวการเลือกตั้ง 

 

  • จากรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารคำฟ้อง จึงแสดงให้เห็นว่าทำไมการฟ้องร้องต่อทรัมป์ในข้อหาอาญาทั้งในระดับรัฐและรัฐบาลกลางจึงสามารถทำได้

 

3. อัยการอ้างหลักฐาน ชี้ทรัมป์รับรู้ว่าการจ่ายเงินมุ่งเน้นไปที่การเลือกตั้ง

 

  • ในการรับสารภาพผิดของโคเฮนก่อนหน้านี้ ได้โยงให้ทรัมป์เข้าไปติดร่างแหเรื่องการจ่ายเงินเพื่อโน้มน้าวการเลือกตั้ง แต่เนื่องจากไม่เคยมีการยื่นฟ้องต่อทรัมป์ จึงไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า ทรัมป์รับรู้อย่างชัดเจน ว่าการจ่ายเงินดังกล่าวมีเจตนาเพื่อส่งเสริมหรือโน้มน้าวการเลือกตั้งในปี 2016 ให้เป็นประโยชน์ต่อเขา

 

  • แถลงข้อเท็จจริงจากสำนักงานอัยการของแบรกก์ ยังชี้ให้เห็นแง่มุมสำคัญ คือ ‘ข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นในคดีนี้ จะต้องได้รับการพิสูจน์ในชั้นศาล’ ซึ่งนั่นเป็นการผูกโยงทรัมป์เข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด

 

  • ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด มาจากข้อความในเอกสารคำฟ้องที่เผยแพร่วานนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นสิ่งที่เชื่อมโยงทรัมป์กับการกระทำผิด โดยระบุว่า

 

  • “จำเลย (ทรัมป์) สั่งให้ทนาย A (โคเฮน) ชะลอการจ่ายเงินให้ผู้หญิง 2 (แดเนียลส์) ให้นานที่สุด เขาสั่งทนาย A ว่า หากพวกเขาสามารถชะลอการจ่ายเงินได้จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินทั้งหมดได้ เพราะเมื่อถึงจุดนั้น เรื่องราวจะเผยแพร่สู่สาธารณะก็ไม่เป็นไร”

 

  • นอกจากนี้ ยังมีการอ้างอิงถึงบทสนทนาระหว่างทรัมป์และโคเฮน เกี่ยวกับการจ่ายเงินซื้อเรื่องราวของแมคดูกัลจาก AMI โดยบทสนทนาดังกล่าวได้รับการบันทึกและเผยแพร่กลายเป็นข่าวดังในปี 2018 ซึ่งทำให้เรื่องราวการเลือกตั้งของทรัมป์ถูกเพ่งเล็งมากขึ้น

 

4. ทรัมป์ถูกกล่าวหาที่ขอบคุณซีอีโอสื่อช่วยหาเสียง

 

  • แถลงข้อเท็จจริงยังชี้ความเชื่อมโยงระหว่างทรัมป์และเพ็คเกอร์ โดยระบุว่าซีอีโอของ AMI เริ่มติดต่อกับทรัมป์และโคเฮนเป็นครั้งแรกช่วงเดือนสิงหาคม 2015 โดยแสดงความปรารถนาที่จะซื้อและฝังเรื่องราวเชิงลบของทรัมป์ไว้ 

 

  • ข้อมูลใหม่ในเอกสารที่เปิดเผยต่อศาล ยังระบุถึงข้อกล่าวหาที่ว่า ทรัมป์ตอบรับในความพยายามของเพ็คเกอร์ และระบุว่าทรัมป์ขอบคุณต่อเพ็คเกอร์ในภายหลัง

 

  • “ระหว่างวันเลือกตั้งและวันเข้ารับตำแหน่ง ในช่วงที่จำเลยเปลี่ยนไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จำเลยได้พบกับซีอีโอของ AMI เป็นการส่วนตัวที่อาคาร Trump Tower ในแมนฮัตตัน จำเลยได้กล่าวขอบคุณซีอีโอของ AMI สำหรับการจัดการเรื่องราวของพนักงานเปิดประตูและผู้หญิง 1 (แมคดูกัล) และเชิญซีอีโอของ AMI เข้าร่วมพิธีสาบานตนในช่วงฤดูร้อนปี 2017 จำเลยยังได้เชิญซีอีโอของ AMI ไปที่ทำเนียบขาวเพื่อรับประทานอาหารค่ำ เพื่อขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือในระหว่างการหาเสียง” แถลงข้อเท็จจริงระบุ

 

  • โดยข้อมูลใหม่นี้คาดว่าน่าจะมาจากเพ็คเกอร์ เนื่องจากเขาได้ให้การเป็นพยานต่อคณะลูกขุนใหญ่ที่ฟ้องทรัมป์ โดยข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นการตอกย้ำแนวคิดที่ว่า ทรัมป์เข้าใจว่าการจ่ายเงินนั้นเกี่ยวข้องกับการหาเสียง

 

5. ศาลเตือนทรัมป์ งดแสดงความคิดเห็น ‘ปลุกปั่น’ ต่อสาธารณชนในคดีนี้

 

  • ในการฟ้องร้อง ทนายความและผู้พิพากษาศาลสูงนิวยอร์ก ฮวน เมอร์ชาน ยังได้หารือเกี่ยวกับวาทศิลป์สาธารณะของทรัมป์เกี่ยวกับคดีนี้ ซึ่งรวมถึงการดูหมิ่นข้อกล่าวหาทางอาญาและอัยการแบรกก์อย่างรุนแรง

 

  • โดยเมอร์ชานเตือนให้ทรัมป์งดเว้นการแถลงหรือแสดงความคิดเห็นที่อาจเป็นการ “ปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงหรือก่อความไม่สงบในบ้านเมือง หรือเป็นอันตรายต่อรัฐหรือสวัสดิภาพของบุคคลใดๆ” 

 

  • อย่างไรก็ตาม ไม่มีคำสั่งจากศาลที่ห้ามทรัมป์พูดเกี่ยวกับคดีนี้ แม้ที่ผ่านมาจะเคยมีตัวอย่างการออกคำสั่งของศาลในแวดวงคนใกล้ชิดทรัมป์คือ โรเจอร์ สโตน อดีตที่ปรึกษาของทรัมป์ ที่ถูกศาลห้ามใช้งานโซเชียลมีเดียในระหว่างที่ถูกดำเนินคดีเมื่อปี 2019 หลังจากที่เขาโพสต์ข้อความโจมตีการดำเนินคดีเขาลงใน Instagram

 

ภาพ: STEVEN HIRSCH / POOL / AFP

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X