ถ้าดูจากภาพลักษณ์ภายนอก เอเนอร์จี้ที่ล้นเหลือ เสียงหัวเราะ ใบหน้าหล่อใสที่เหมือนสตัฟฟ์เอาไว้ในวันที่ออกอัลบั้มแรก Dome เมื่อ 23 ปีก่อน โดยไม่เปิดหาข้อมูลจากวิกิพีเดีย ไม่มีใครทันคิดหรอกว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ชายหนุ่มที่ชื่อโดม-ปกรณ์ ลัม กำลังจะมีอายุ 40 ปี!
ตามปกติเขามักจะถูกสาดแสงไฟด้วยคำนิยามที่หลายคนให้การยอมรับว่า ‘หล่อขั้นเทพ’ จนเราไม่ทันมองเห็นว่าแท้จริงแล้วเขาคือคนหนุ่มไฟแรงที่มีดนตรีในหัวใจ และเขาเลือกที่จะทุ่มเทชีวิตให้กับการสร้างสรรค์ผลงานที่เขารัก ตั้งแต่ในฐานะ ‘ป๊อปไอคอน’ ที่ทุกคนรู้จัก, นักร้องนำวงอิเล็กทรอนิกส์ Nologo, ผู้ก่อตั้งค่ายเพลง Iconic Records จนมาถึงผลงานล่าสุด เสียงขอร้องของคนเสียใจ ที่พาทุกคนย้อนเวลากลับไปสู่บรรยากาศในยุคที่เขาเติบโตมาอีกครั้ง
ถึงแม้กาลเวลาไม่อาจทำร้ายความดูดีบนใบหน้าให้ลดน้อยลง แต่ความโหดหินของวันเวลาและธุรกิจเพลงที่เปลี่ยนไป ได้ทำร้ายความรู้สึกของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยไฟฝันว่าจะทำค่ายเพลงที่เขารักให้ประสบความสำเร็จ จนกลายเป็นภาวะ Midlife Crisis หรือวิกฤตวัยกลางคน ที่ทำให้เขาต้องกลับมาทบทวนและประเมินชีวิตของตัวเองอย่างหนัก
แต่แทนที่จะพร่ำบ่นก่นด่าชะตาชีวิตที่ไม่เป็นอย่างใจ โดมกลับรู้สึกขอบคุณ ‘ความล้มเหลว’ ครั้งใหญ่ที่เขาเคยกลัว เพราะถึงแม้มันจะเจ็บปวดแสนสาหัส แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยปลดล็อกความคิดที่เคยยึดติดกับความสำเร็จเป็นตัวตั้ง และทำให้เขารับรู้ว่า ‘ความสุข’ ที่แท้จริงคืออะไร
เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น เขาเคยออกวิ่งด้วยความเร็วเพื่อตามหาสิ่งที่เป็นความสุข แต่ในวันนี้เขาค้นพบว่าความสุขนั้นแสบเรียบง่ายและอยู่ใกล้ตัว
เพียงแค่มีเวลาให้กับตัวเอง แต่งงานใช้ชีวิตคู่กับคนที่รัก เตรียมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูก มองโลกที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยความเข้าใจ เติบโตเป็นผู้สูงอายุที่วัยรุ่นที่สุด และกลับมาทำงานเพลงที่รักด้วยความสุขและไม่ต้องคาดหวังว่าจะได้รับความสำเร็จเป็นสิ่งตอบแทน
มันไม่เคยนึกมาก่อนด้วยซ้ำว่าคนเราสามารถหาความสุขจากความสงบได้ เพราะที่ผ่านมาความสุขของเรามันถูกพิสูจน์กับตัวเองผ่านผลงาน ผ่านสิ่งที่ทำมาตั้งแต่เด็ก จนติดเป็นความคิดที่ว่านั่นคือรูปแบบความสุขที่แท้จริง
เพลง เสียงขอร้องของคนเสียใจ
เรื่องหนึ่งที่ค้นพบจากการคุยกับศิลปินที่อายุประมาณ 35-40 ปี หลายคน คือมักจะเกิด Midlife Crisis ที่ทำให้รู้สึกชีวิตล้มเหลว จนต้องกลับมาทบทวนตัวเอง ก่อนที่จะค่อยๆ คลี่คลายตามอายุที่มากขึ้นในช่วงเวลานี้ คุณเองเคยพบเหตุการณ์ทำนองนี้บ้างไหม ในฐานะคนที่กำลังจะอายุ 40 ปีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว
Midlife Crisis นี่เป็นสิ่งที่ต้องเจอจริงๆ นะครับ ผมเริ่มทำงานตั้งแต่เด็ก เจอสถานการณ์หลายรูปแบบ เวลาทำอะไรแต่ละอย่างก็ค่อนข้างคาดหวังว่าเวลาหยิบจับทำอะไรแล้วต้องประสบความสำเร็จ เรามองแค่ผลลัพธ์เป็นการยอมรับ ชื่อเสียงเงินทอง หรือแม้แต่ผลกำไร ซึ่งมันไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงเสมอไป
ผมเริ่มทำค่ายเพลง Iconic Records ตอนอายุ 30 ต้นๆ (ปลายปี 2012) ช่วงที่การทำธุรกิจเพลงเป็นเรื่องยากมากๆ แต่ผมก็ทำด้วยความรู้สึกท้าทาย กำลังมีไฟ มีพลัง เต็มไปด้วยความเชื่อ มุ่งมั่น ทุ่มเททุกอย่างลงไปกับการทำงานตรงนี้หลายปี แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ และทำให้รู้สึกเฟลมากๆ
โดยเฉพาะช่วง 2 ปีหลังๆ ที่เริ่มรู้ว่าเราไปต่อไม่ไหวแน่ๆ แบกความรู้สึกที่ว่าเราจะฝ่าฟันวิกฤตนี้ได้อย่างไร จะบอกเพื่อนๆ น้องๆ ในทีมอย่างไรดี ก้มหน้าก้มตาคิด ก้มหน้าก้มตาทำงานจนลืมไปว่า จริงๆ ไอ้ความสำเร็จที่เราตามหา มันเป็นแค่มุมหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่าความสุขไม่ใช่เหรอ
ถามตัวเองว่า เราพลาดความสุขในการทำให้สำเร็จ แต่ว่าสิ่งที่ทำมันก็เป็นความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่รักอยู่แล้วไม่ใช่เหรอโดม พายุฝนในวงการดนตรีตอนนั้นมันแรงมากๆ เราเห็นหลายคนวิ่งฝ่าพายุจนเสื้อผ้าขาดวิ่น เปียกปอนเป็นไข้กันไปหลายราย ถ้าเรายังวิ่งต่อ วันหนึ่งเราอาจจะต้องเป็นแบบนั้นก็ได้ เพราะฉะนั้นในเมื่อพายุฝนมันแรงและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เราก็เปลี่ยนจากวิ่งฝ่ามาหลบในร่มก่อนไหม ไม่ได้ความหมายว่าเราจะต้องเลิกล้มทำในสิ่งที่รักเลยนี่ แค่รอเวลาฝนซาแล้วกลับไปทำมันอีกครั้งแค่นั้นเอง
ซึ่งพอเอาโฟกัสออกมาจากตรงนั้น เลิกมองที่ความสำเร็จเป็นตัวตั้ง เรารู้เลยว่านั่นคือแค่ส่วนหนึ่งของความสุขจริงๆ แค่กลับมามีเวลาให้ตัวเองบ้าง ได้อยู่กับคุณแม่ อยู่กับคนที่รัก ได้ทำหลายๆ อย่างที่ไม่ต้องกดดัน ไม่ต้องแบก ไม่ต้องคิดถึงเรื่องความล้มเหลว ความสำเร็จ ความสุขมันมีอยู่รอบตัวเราจริงๆ
มีเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญบ้างไหม ที่ทำให้จากคนมองว่าความสุขเท่ากับสำเร็จ แล้วก็มุ่งมั่นตามหาความสุขนั้นอย่างเดียว เริ่มหันกลับมามองความสุขรอบๆ ตัวขึ้นมาได้
พูดได้เลยครับว่าจักรยานคือสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตผม ช่วงหลังๆ ที่เจอปัญหามากๆ รู้สึกอยากหากิจกรรมบางอย่างทำเพื่อให้เราหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้ ก็ไปซื้อจักรยานเสือภูเขา เริ่มปั่น เริ่มมีก๊วน ไปออกทริปต่างจังหวัด ก็รู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ จนมาเจอความสงบจริงๆ ตอนออกทริปปั่นเข้าไปในป่า อยู่ในภูเขาลูกใหญ่ๆ แถวจังหวัดปราจีนบุรีบ้าง เขาใหญ่บ้าง สุพรรณบุรีบ้าง ฯลฯ กับก๊วน 4-5 คน ได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีชีวิตเรียบง่าย มีความสุขกับกีฬา 2 ล้อ กับธรรมชาติ แบกข้าวเข้าไปกินอาหารริมน้ำตก มันเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่คนชื่อ โดม-ปกรณ์ ลัม ไม่เคยรู้จัก ทั้งชีวิตเคยเจอแต่ความวุ่นวาย เดี๋ยวก็ไปอีเวนต์ในเมือง เสร็จแล้ววิ่งกลับมาอัดเสียงในห้องอัด คุมน้องถ่ายงาน ฯลฯ วนอยู่แค่นั้น
มันไม่เคยนึกมาก่อนด้วยซ้ำว่าคนเราสามารถหาความสุขจากความสงบได้ เพราะที่ผ่านมาความสุขของเรามันถูกพิสูจน์กับตัวเองผ่านผลงาน ผ่านสิ่งที่ทำมาตั้งแต่เด็ก จนติดเป็นความคิดที่ว่านั่นคือรูปแบบความสุขที่แท้จริง เพราะฉะนั้นถ้ามองกลับไปที่ Midlife Crisis ที่เจอตอนนั้น ความทุกข์ ความนอยด์ที่เจอในช่วงแรก มันก็เป็นการเปิดประตูบานที่ทำให้เจอกับโลกอีกใบหนึ่ง
ในตอนนั้นทุกคนจะรู้เลยว่าผมไม่อยากเข้าบริษัทแล้ว เพราะมีแต่ปัญหา เข้าไปก็เจอแต่กองเช็กที่กองอยู่เต็มไปหมด แล้วก็มาใช้ชีวิตอีกทางหนึ่ง หาเวลาว่างเพื่อปั่นจักรยาน เข้าป่า ตั้งแคมป์อย่างเดียว (หัวเราะ) ซึ่งผมติดอยู่ในนั้นประมาณ 2 ปีเลยนะ ก่อนที่จะปล่อยวางความดื้อรั้น ความตะบี้ตะบันที่จะต้องทำให้สำเร็จ คิดได้ว่าเราเปิดบริษัทได้ก็ปิดได้สิ แล้วต่อให้เราปิดตอนนี้ เดี๋ยวเราก็กลับมาเปิดอีกครั้งได้เหมือนกัน ไม่เห็นจะมีอะไรยากเลย
จริงๆ ต้องขอบคุณความล้มเหลวในครั้งนั้นที่ถือว่าเป็นความล้มเหลวใหญ่ครั้งแรกในชีวิตของผมมากๆ เลยนะ เพราะนอกจากจะปลดล็อกเรื่องการทำงานแล้ว มันปลดล็อกแทบทุกเรื่องในชีวิตให้กับผมด้วย
การมีชื่อ ‘โดม ปกรณ์’ ค้ำคออยู่ ยิ่งมีผลทำให้คุณยิ่งปล่อยวางเรื่องความสำเร็จได้ยากขึ้นไปอีกหรือเปล่า
มีส่วนนะครับ คิดว่าผู้ชายหลายคนก็คงมีโมเมนต์แบบนี้ที่เต็มไปด้วยอีโก้ โดม ปกรณ์ จะล้มเหลวไม่ได้ ถ้าล้มเหลวจะไม่มีความสุข เดี๋ยวคนอื่นเขาจะมองอย่างไร ซึ่งสุดท้ายไอ้สิ่งเหล่านั้นที่เคยคิด มันเป็นแค่จินตนาการที่เราสร้างความกลัวขึ้นมาให้ตัวเองทั้งนั้น ตอนไปบอกทีมงานทุกคนก็เข้าใจ สุดท้ายแล้วไม่มีใครเขาคาดหวังให้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หรอก มีแค่เราเท่านั้นแหละที่ยึดถือมันเอาไว้
เพราะจริงๆ แล้วสิ่งที่สำคัญกว่าความล้มเหลว คือการยอมรับให้ได้ก่อนว่าเราล้มเหลว แล้วรีบหาทางออกโดยเร็ว อย่าไปจมปลักว่าชีวิตนี้จบสิ้นแล้ว เพราะทุกคนต้องเคยล้มมาก่อน คนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าเราเขายังล้มมาแล้วตั้งไม่รู้กี่ครั้ง แล้วเราเป็นใครเหรอ ที่คิดว่าตัวเองจะต้องประสบความสำเร็จทุกอย่าง ไม่มีอะไรผิดพลาดเลย
ลองคิดภาพว่าถ้าไม่เจอความล้มเหลวในวันนั้น ภาพของ โดม-ปกรณ์ ลัม ในวันนี้จะเป็นแบบไหน
ก็จะไม่เห็นผมในมุมนี้เลย คงกำลังหัวฟูอยู่กับการตั้งใจทำค่ายเพลงให้ประสบความสำเร็จ อยู่ในลูปชีวิตการทำงานโดยที่ยังมองไม่เห็นสิ่งรอบข้างแบบตอนนี้ จริงๆ ต้องขอบคุณความล้มเหลวในครั้งนั้นที่ถือว่าเป็นความล้มเหลวใหญ่ครั้งแรกในชีวิตของผมมากๆ เลยนะ เพราะนอกจากจะปลดล็อกเรื่องการทำงานแล้ว มันปลดล็อกแทบทุกเรื่องในชีวิตให้กับผมด้วย
เมื่อก่อนผมอาจจะเคยคิดว่าจะต้องทำงาน สร้างชีวิต สร้างผลงาน หาความสำเร็จให้ได้ก่อน เพื่อเป็นพื้นฐานสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตด้านอื่นๆ ตามมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สมมติเราตั้งไว้ที่ 10 คือความมั่นคง พอทำสำเร็จเราก็ตั้งเป้าไว้ที่ 100 พอได้ 100 ก็อยากได้ 1,000 เพิ่มไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ
แต่พอมีอะไรที่เข้ามาขัดเราบ้าง เหมือนเราได้แตะเบรกกับตัวเองว่า เฮ้ย ไอ้ 10 100 1,000 ที่เรามีอยู่นี่มันพอหรือยัง จุดหมายปลายทางที่อยู่ข้างหน้ามันอยู่ตรงไหนกันแน่ เหมือนกำลังขับรถแข่งด้วยความเร็วที่สูงมากเลยนะ อยู่ดีๆ เราไม่มีทางรับคนขึ้นมาให้หนักและความเร็วลดลงแน่ๆ แต่พอเจอเหตุการณ์นั้นปุ๊บ เหมือนสะดุดหินที่ทำให้รถหมุนแบบ 360 องศา ได้มองเห็นว่าบนอัฒจันทร์มีใครนั่งรอเราอยู่บ้าง
ซึ่งผมถือว่าโชคดีนะ ที่ได้รู้เรื่องนี้ทันเวลา ผมเห็นน้องๆ เพื่อนๆ ที่เป็นเหมือนกัน หลายคนที่ต้องเลิกกับคนรักเพราะไอ้คำว่า “ขออีกหน่อยน่า” นี่แหละ เป้าหมายเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ควรมีกรอบของมัน เหมือนวิ่งมาราธอนก็ต้องรู้ว่าเส้นชัยอยู่ที่ 42 กิโลเมตร คุณจะวิ่งมาราธอนแบบ Non-stop ไม่ได้ ถ้าเขาไม่รู้ว่าเส้นชัยคุณอยู่ที่ไหนสักวันหนึ่งเขาก็ต้องจากคุณไป
เป้าหมายเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ควรมีกรอบของมัน เหมือนวิ่งมาราธอนก็ต้องรู้ว่าเส้นชัยอยู่ที่ 42 กิโลเมตร คุณจะวิ่งมาราธอนแบบ Non-stop ไม่ได้ ถ้าเขาไม่รู้ว่าเส้นชัยคุณอยู่ที่ไหนสักวันหนึ่งเขาก็ต้องจากคุณไป
เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณเพิ่งประกาศแต่งงานในช่วงนี้ด้วยหรือเปล่า
ถูกต้องครับ อย่างที่บอกว่าเหตุการณ์นั้นมันปลดล็อกจริงๆ ผมไม่เคยคิดเลยว่าอยากมีลูก หรือเมื่อ 4-5 ปีก่อนที่เจอเมทัลแรกๆ ก็ยอมรับเลยว่ายังไม่คิดเรื่องแต่งงาน คิดแค่ว่าปล่อยให้มันดำเนินไปตามธรรมชาติต่อไป แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าผมอยากทำทั้งหมดเลย (หัวเราะ)
ที่ผมเปรียบเทียบชีวิตเหมือนขับรถแข่งเพื่อไปถึงจุดหมายก่อนหน้านี้ บางทีก็เป็นมอเตอร์ไซค์ที่ต้องใช้ความเร็ว ซิกแซ็ก และซ่าสุดๆ ตามประสาเด็กชายโดม-ปกรณ์ ลัม ในสมัยออกอัลบั้มแรกที่ยังซ่าสุดๆ จนตอนนี้เป็นนายปกรณ์ที่อายุกำลังจะ 40 ผมเลือกเปลี่ยนมาขับรถบัสคันใหญ่ๆ ที่วิ่งช้า แต่ชวนผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะเป็นภรรยาผมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าขึ้นมานั่งข้างๆ คนขับด้วย ไม่ต้องปล่อยให้เขาทำได้แค่มองเราอยู่บนอัฒจันทร์อีกต่อไปแล้ว
เมทัลเข้ามาในช่วงที่ผมเริ่มทำค่ายเพลงไปสักพัก เป็นคนที่ได้เห็นผมในช่วงวิกฤต ช่วงที่เหนื่อย ท้อมากๆ ผมไม่เคยเอาปัญหาต่างๆ ไปปรึกษาน้องเลย เพราะคิดว่าน้องเด็กกว่าผมพอสมควรที่จะมาแบกรับอะไรตรงนี้ แต่น้องก็คอยเป็นกำลังใจที่ดีให้ผมมาตลอด คือเป็นคนมีทัศนคติด้านบวก อารมณ์ดีจนถึงขั้นบ้าเลยล่ะ (หัวเราะ) ในช่วงที่ผมกำลังร้อน น้องก็เป็นเหมือนน้ำเย็นที่ทำให้เรามีสติ เป็นคนที่ทำให้เรายิ้มได้ในทุกๆ ครั้งที่รู้สึกว่าเหนื่อยท้อ แล้วตอนที่ผมยอมรับถึงความล้มเหลวได้จริงๆ สิ่งที่น้องซึ่งเคยคิดว่าเขาเป็นเด็กมาตลอดบอกกับเราคือ
“หนูเข้าใจว่าธุรกิจที่พี่ทำอยู่มันไม่ง่าย แล้วก็ไม่ใช่พี่คนเดียวที่ล้มเหลว หลายค่ายก็ปิดตัวกันไปเยอะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเหนื่อยกับตรงนี้ มีงานอีกตั้งมากมายที่รอให้ทำอยู่ พี่หยุดทำเพลงของตัวเองไปตั้งหลายปีนะ งานละคร 2 ปีพี่ก็เล่นแค่เรื่องเดียว เพราะมัวแต่มาโฟกัสตรงนี้ วันนี้ไม่ใช่วันสุดท้ายของพี่นะ หนูให้กำลังใจพี่อยู่นะ”
ซึ่งคำตอบที่ได้มันคือแก่นจริงๆ นะครับ ไม่ใช่คำปลอบใจที่ทำให้รู้สึกดีใจ สบายใจแล้วผ่านไป แต่เป็นอีกหนึ่งเสียงที่ช่วยยืนยันให้ผมรู้ว่า การล้มเหลวมันไม่ใช่สิ่งที่แย่อะไรเลยจริงๆ
ตอนนี้เลยรู้สึกว่าอยากขับรถคันใหญ่นี้ไปพร้อมๆ กับเขา ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่เมทัลหรือลูกๆ แต่รวมถึงคุณแม่ คนในครอบครัว เพื่อนๆ น้องๆ ทีมงาน แล้วระหว่างทางเราก็จะมีสมาชิกที่เดินทางบนรถคันนี้ไปพร้อมๆ กันมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมได้คุยกับหลายคนตอนนี้ที่เคยทำงานกันมาตั้งแต่เด็ก บางคนยังทำเพลงให้กับค่ายใหญ่ต่อไป บางคนออกมาทำอิสระ แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ ผมยังเห็นแววตาของคนทำงานที่มีความสุข
จุดหมายปลายทางของรถบัสคันนี้อยู่ตรงไหน
มุ่งไปหาความสุข แต่เป็นความสุขที่เกิดขึ้นได้ง่ายและผ่อนคลายกว่าเดิมเยอะ ตอนนี้ผมไปซื้อที่ไว้ที่ปากช่อง ที่คุณแม่ผมย้ายไปอยู่ได้สัก 3-4 ปีแล้ว เพราะคิดว่าชีวิตในกรุงเทพฯ ตอนนี้มันเครียดพอสมควร ผมคิดภาพอีก 5 ปีข้างหน้าที่ต้องดูแลทั้งคุณแม่ ภรรยา แล้วก็ลูกที่ผมไม่อยากให้เขาต้องเครียด ตื่นแต่เช้าตรู่ ฝ่าฟันรถติดไปโรงเรียน
ผมอยากให้เขาอยู่ในพื้นที่ที่อย่างน้อยใช้เวลา 10-15 นาทีไปถึงโรงเรียน แล้วผมสามารถไปรับไปส่งเขาได้จริงๆ แล้วก็อยากสร้างธุรกิจสักอย่างที่นั่น ในขณะเดียวกันก็ดูแลธุรกิจที่กรุงเทพฯ ไปด้วย ซึ่งโชคดีที่เดี๋ยวนี้เดินทางง่ายขึ้น เทคโนโลยีดีขึ้น เราทำงานผ่านอินเทอร์เน็ตได้ ตรงนี้น่าจะทำให้คุณภาพชีวิตของเราเข้าใกล้กับบรรยากาศความสุขได้ง่ายที่สุด
กับเป้าหมายอีกอย่างคือ ตอนนี้เป็นช่วงที่พายุฝนในวงการดนตรีเริ่มซา เรามองเห็นฟ้าหลังฝนที่สดใสมากขึ้น ก็อยากกลับมาทำเพลงของตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่ผมรักอีกครั้ง แต่จะเป็นการทำด้วยความผ่อนคลาย ไม่คาดคั้นว่ามันจะต้องประสบความสำเร็จแล้วถึงจะมีความสุข
เพลง ชัดเจน
อย่างเพลง ชัดเจน ที่ปล่อยออกมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ยอดวิวน้อยมากเลยนะ แต่มีความสุขที่ได้ทำ เพราะผมไม่ได้คาดหวังอะไรจากมันเลย ไม่ได้วิ่งโปรโมตเลยด้วยซ้ำ (หัวเราะ) เป็นเพลงที่ผมเขียนเนื้อร้อง ทำดนตรีเองด้วย ความรู้สึกว่าเรารักเพลงแบบนี้ และอยากทำมันออกมาจริงๆ มันมีความสุขตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะตั้งโจทย์ว่า ทำอย่างไรให้มันได้ 100 ล้านวิววะ ซึ่งมันหลงประเด็นตั้งแต่แรกแล้ว โจทย์ในตอนนี้คือมีความสุข ใช้เวลาในการทำเพลงให้เต็มอิ่ม ตั้งใจทำให้ดี อย่าเตะผ่านหรือทำแบบส่งๆ ให้แฮปปี้ไปกับมัน เพราะคนฟังจะแฮปปี้ได้อย่างไร ถ้าคนถ่ายทอดทำเพลงด้วยความเครียด ทำให้มีความสุขออกมาก่อน ส่วนที่เหลือจะได้ 1 วิว 1 หมื่นวิว หรือร้อยล้านวิว นั่นคือผลพลอยได้แล้ว
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเหตุการณ์ยอดวิวน้อยเกิดขึ้นกับ โดม-ปกรณ์ ลัม ในช่วงที่กำลังขับรถซิ่งอยู่
โห ยุ่งเลยครับ ไม่ใช่แค่ตอนทำค่ายเพลงของตัวเอง แต่ย้อนไปตั้งแต่สมัยเด็กๆ ผมอยู่กับค่ายใหญ่ทั้งฝั่งลาดพร้าวและอโศก ตอนนั้นทุกคนต้องพิสูจน์ตัวเองเรื่องยอดขายกันหมด เพราะการขายได้ล้านก๊อบปี้นี่เป็นเรื่องธรรมดามากๆ วันไหนขายได้ 700,000 ขึ้นมานี่ปิดห้องประชุมเครียดกันแล้วนะครับ แต่ถ้าเป็นทุกวันนี้เหรอ ปิดค่ายเลี้ยงกันแล้ว (หัวเราะ)
พอเปลี่ยนมาเป็นยุคนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนเข้าใจกลไกที่เปลี่ยนไปในวงการเพลงมากขึ้น ทุกอย่างเป็นไปโดยไม่มีสูตรสำเร็จ ผมได้คุยกับหลายคนตอนนี้ที่เคยทำงานกันมาตั้งแต่เด็ก บางคนยังทำเพลงให้กับค่ายใหญ่ต่อไป บางคนออกมาทำอิสระ ทุกคนกำลังทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ตัวเองรัก ด้วยวิธีการและสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป ผมได้คุยกับหลายคนตอนนี้ที่เคยทำงานกันมาตั้งแต่เด็ก บางคนยังทำเพลงให้กับค่ายใหญ่ต่อไป บางคนออกมาทำอิสระ แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ ผมยังเห็นแววตาของคนทำงานที่มีความสุข ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ใช่แค่ผม แต่อีกหลายๆ คนจะยังทำสิ่งนี้ด้วยความสุขต่อไปแน่ๆ
ผมไม่เคยรู้สึกกลัวการเติบโตหรือการแก่ขึ้นเลย อายุต้องเป็นไปตามธรรมชาติ อย่าไปกลัวแก่เลยครับ ทุกคนต้องเดินไปทางตรงนั้นอยู่แล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่ห้ามแก่ แต่เราจะแก่อย่างไรให้เป็นวัยรุ่นที่สุดมากกว่า
อย่างผลงานล่าสุด เสียงขอร้องของคนเสียใจ อันนี้ตอบโจทย์ความสุขในเรื่องไหนของ โดม-ปกรณ์ ลัม ในวัยที่อายุใกล้เลข 4 อย่างไรบ้าง
เวลาย้อนกลับไปดูเส้นทางชีวิต 23 ปีที่ผมเริ่มทำเพลงมาตั้งแต่อัลบั้มแรก จะเห็นว่าชีวิตของ โดม ปกรณ์ นี่ผ่านมาหลายเลี้ยวมาก ตั้งแต่ยุคที่เป็นป๊อปทีนแบบสุดๆ เริ่มทำวง Nologo ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์จัดๆ ไปทำเพลงอินดี้กับค่าย Smallroom จนไปทำค่ายเพลงของตัวเอง
ซึ่งทุกผลงานเพลงที่ทำมามันก็เป็นความสุขของผมหมดนะ แต่สำหรับนายปกรณ์ที่อายุกำลังจะ 40 มันเริ่มค้นหาสิ่งที่ Back to Basic มากที่สุด ก็เลยคิดถึงการทำเพลงในยุค 90-2000 ที่ไม่ใช่แค่ฐานะนักร้อง แต่ผมโตมากับเพลงยุคนี้ ฟังเพลงยุคนี้แล้วมีความสุขตลอด ทุกวันนี้เวลาแฮงเอาต์ ชิล ดื่มกันกับเพื่อนๆ ก็ยังมีเพลงแบบนี้เปิดขึ้นมาตลอด
ผมรู้สึกว่ามันเติมเต็มช่วงเวลาของเราได้ดีนะ การกลับไปทำอะไรเรียบง่าย ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องมีจริตจะก้านมาก ทั้งการเล่าเรื่อง ทั้งดนตรีที่ไม่ต้องขมวดคิ้วฟังก็ได้ เล่าแบบตรงไปตรงมา ซื่อๆ รักกัน เสียใจ เลิกกัน จากลา วิ่งตามรถ เป็นเรื่องง่ายๆ ที่มีเสน่ห์มากๆ ในยุคนั้น
พอคิดแบบนั้นได้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงยุคนั้นให้ถึงที่สุด ผมก็ทำการอัญเชิญทวยเทพในวงการดนตรีสมัยก่อนที่เคยทำงานกันมาตั้งแต่ผมยังเด็กๆ ได้กลับมารียูเนียน แล้วก็สร้างบรรยากาศแบบนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆ ทำงาน เสร็จวันหนึ่ง พัก ออกไปกินข้าว อีกวันกลับมาทำงานกันต่อ เป็นบรรยากาศเดิมๆ ที่เกิดขึ้นในห้องอัด และดีมากๆ ที่ไม่ต้องมีเดดไลน์ว่าเพลงจะออกเมื่อไร เพราะยูทูบมันเปิดให้ฟังได้ตลอด 24 ชั่วโมง เสร็จเมื่อไรปล่อยเมื่อนั้น ระหว่างนั้นก็เก็บเกี่ยวความสุขกับโมเมนต์ในการทำงานพร้อมกันไปเรื่อยๆ
คุณดูมีความสุขมากๆ เวลาพูดถึงเรื่อวราวเก่าๆ ในอดีตๆ ซึ่งนึกออกใช่ไหมว่า อาการแบบนี้คืออาการของคนที่ก้าวเท้าเข้าใกล้ความเป็นผู้สูงอายุเข้าไปทุกทีแล้ว
ใช่เลยครับ (หัวเราะ) กำลังจะเข้าไปสู่อีกช่วงวัยหนึ่งแล้ว ซึ่งจากตอน 30 ต้นๆ ที่เปรี้ยวมาก โอ้โห ไม่ยอมผ่อนคลายกับอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้ชิลมากขึ้น รีแล็กซ์ขึ้นเยอะ
แล้วผมไม่เคยรู้สึกกลัวการเติบโตหรือการแก่ขึ้นเลย อายุต้องเป็นไปตามธรรมชาติ อย่าไปกลัวแก่เลยครับ ทุกคนต้องเดินไปทางตรงนั้นอยู่แล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่ห้ามแก่ แต่เราจะแก่อย่างไรให้เป็นวัยรุ่นที่สุดมากกว่า ผมอยากเป็นคนแก่ที่ยังเฟี้ยว ยังเข้าใจโลก เข้าใจเด็กๆ และยอมรับกับสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นดีกว่า
อย่างช่วงก่อนหน้าที่ไม่มีผลงานของตัวเอง แต่ผมก็ยังติดตามวงการเพลง โดยเฉพาะผลงานของน้องๆ รุ่นใหม่ที่มีฝีมือและมีแพลตฟอร์มให้เขาได้แสดงผลงานด้วยตัวเองได้ทั้งหมดอย่างใกล้ชิดมาตลอด แล้วรู้สึกว่าสนุกจังเลย เป็นกำไรของคนฟังมากเลยนะครับที่มีเพลงให้ฟังหลากหลายขนาดนี้
นอกจากความสนุก ก็เป็นความรู้สึกท้าทายตัวเองด้วยว่า สักวันหนึ่งถ้าเราจะกลับมาทำเพลงอีกครั้ง เราจะต้องตามโลกที่เปลี่ยนแปลงไปให้ได้ เราไม่สามารถหยุดการ Disruption ของสิ่งต่างๆ ได้ ทักษะที่เคยมั่นใจมาตลอด 10 ปีว่าทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด ในวันนี้มันอาจจะหมดอายุแล้วก็ได้
เมื่อไรก็ตามที่ยึดติดกับความสำเร็จเก่าๆ เราจะไม่เข้าใจเวลาเห็นสิ่งใหม่ที่เด็กๆ ทำขึ้นมา แล้วก็คิดว่านั่นไม่ใช่พื้นที่ของเราอีกต่อไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่ เพราะพื้นที่มันยังมีอยู่ตรงนั้น เพียงแต่ตัวเราเองต่างหากที่ตกยุค และพาตัวเองออกมาจากพื้นที่นั้นเอง
อย่างคนที่ทำเอ็มวีเพลง เสียงขอร้องของคนเสียใจ ก็เป็นน้องที่อายุ 20 ต้นๆ ทั้งนั้นเลยนะครับ แต่พวกเขาเก่งและทำงานแบบเป็นมืออาชีพมากๆ พอทำงานด้วยกัน เห็นความมุ่งมั่น ความตั้งใจของเขา แล้วมันทำให้ตัวผมมีไฟขึ้นมาเหมือนกันนะ
โดม ปกรณ์ ในวัยเกือบ 40 ปี เป็นคุณลุงที่ใช้คำว่า ‘เด็กสมัยนี้’ บ่อยขนาดไหน
โห ผมติดใช้คำนี้มากเลยครับ (หัวเราะ) แต่ไม่ใช่ความหมายด้านลบนะ สมัยนี้ของเราหมายถึงพวกเขาคือตัวแทนของยุคสมัยใหม่จริงๆ อย่างผมเองเริ่มทำงานตั้งแต่เด็ก พอมองไปที่พวกเขาในอายุเท่าๆ กัน เฮ้ย ทำไมมันเก่งกันจังวะ
เด็กสมัยนี้เขาเรียนรู้และปรับตัวเร็วมาก มีทักษะทำงานหลายๆ อย่างได้พร้อมกัน หลายๆ เรื่องเราอาจต้องใช้เวลา 3 ปีในการเรียนรู้ แต่น้องๆ บางคนใช้เวลาแค่ 3 เดือนก็รู้เรื่องแล้ว ซึ่งผมว่ามันจะเป็นเรื่องดีมากเลยนะ ถ้าบุคลากรในยุคเก่า กลาง และใหม่ มาแลกเปลี่ยนความคิด แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อสร้างผลงานเพลงและเป็นส่วนหนึ่งของฟันเฟืองเล็กๆ ที่ขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมเพลงไทยก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า