×

Divinity กาก้า เทพบุตรฟุตบอล มนุษย์คนสุดท้ายที่ได้บัลลงดอร์

21.09.2025
  • LOADING...
Divinity

ในช่วงก่อนถึงรายการฟุตบอลโลก 2002 หนึ่งใน “R” ของบราซิลอย่างริวัลโด กำลังถูกล้อมโดยกลุ่มผู้สื่อข่าวที่ถามถึงประเด็นความพร้อมของอดีตแชมป์โลก 4 สมัยซึ่งผิดหวังจากการแพ้ในเกมรอบชิงชนะเลิศเมื่อ 4 ปีก่อนที่ฝรั่งเศส

 

“มีนักเตะดาวรุ่งมหัศจรรย์คนไหนที่เราควรต้องจับตาดูไหม” นักข่าวคนหนึ่งถาม

 

สตาร์แห่งทีมบาร์เซโลนา ผู้เคยพิชิตบัลลงดอร์มาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเล่นให้กับทีมเซาเปาโล เขาชื่อว่า กาก้า เด็กคนนี้เล่นอยู่หลังกองหน้า 2 ตัว ในยุโรปเราไม่เคยได้ยินเรื่องของเขาหรอก แต่ลองดูว่าเขาจะได้รับเลือกติดทีมชาติไหม”

 

คำตอบของริวัลโด นำมาซึ่งเสียงหัวเราะคิกคักของนักข่าวบางคน

 

“แต่กาก้า มันแปลว่าอึ ในภาษาสเปนนะ”

 

ริวัลโด ยิ้มอ่อนๆ แทนคำตอบ “ผมรู้ แต่เชื่อผมเถอะว่าเขาไม่เป็นแบบนั้นหรอก เขามีความสามารถมากพอที่จะเป็นสตาร์ดังได้”

 

โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าสิ่งที่ริวัลโดบอกจะกลายเป็นความจริง

 

ไม่เพียงแต่ที่ ริคาร์โด กาก้า จะได้รับการเรียกตัวจากหลุยส์ เฟลิเป สโคลารี ให้ติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ตะลุยฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นแล้ว เขายังก้าวสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ของโลกลูกหนัง และเป็นนักเตะมนุษย์ธรรมดาคนสุดท้ายที่ได้รางวัลบัลลงดอร์ก่อนที่โลกจะเข้าสู่ยุคของ “เมสซี vs. โรนัลโด: คู่ปรับฟ้าประทาน”

 

ย้อนรอยคำทำนายสุดทึ่ง! ก่อนฟุตบอลโลก 2002

 

ฟุตบอลโลก 2002 เป็นแหล่งรวมความทรงจำมากมายของแฟนบอล เพียงแต่หากจะเอ่ยถึง กาก้า แล้วอาจไม่มีอะไรให้นึกถึงและจดจำมากนัก

 

นั่นเพราะเขายังเด็กเกินไปที่จะแทรกตัวในทีมที่อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์ทุกตำแหน่งของบราซิล ใครจะแทรกตรงกลางระหว่างโรนัลโด โรนัลดินโญ ริวัลโด ได้?

 

แต่ถึงอย่างนั้นการที่เขาถูกเรียกตัวเข้ามาติดทีมด้วย ก็เป็นตราประทับรับรองให้อย่างดีถึงฝีเท้าและพรสวรรค์ในการเล่นที่ทำให้ สโคลารี ให้โอกาสเข้ามาติดทีมเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากรุ่นพี่ ในแบบเดียวกับที่ คาร์ลอส อัลแบร์โต เคยเรียกตัวโรนัลโด ติดทีมฟุตบอลโลก 1994 แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้ลงสนามแม้แต่วินาทีเดียวเลยก็ตาม

 

ที่สโคลารี เรียกตัวกาก้ามาติดทีมนั้นเป็นเพราะเด็กคนนี้คือความมหัศจรรย์ใหม่ในรูปแบบที่แตกต่าง

 

ปกติแล้วฟุตบอลสไตล์บราซิลนั้นหัวใจอยู่ที่ความสวิงสวายที่เกิดจากปรัชญา “Ginga” การใช้ชีวิตอย่างลื่นไหลและสนุก นักเตะแซมบ้าจึงมีลีลาการเล่นที่เพลิดพลิ้ว เดาทางไม่ถูก หาตัวจับไม่ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ โรนัลดินโญ ผู้เป็นนิยามของคำว่า “Joga Bonito” หรือการเล่นอย่างงดงาม

 

แต่สำหรับกาก้าแล้วเขามีความแตกต่างจากนักเตะในสไตล์แซมบ้าดั้งเดิมอยู่บ้าง

 

โดยลีลาการเล่นของกาก้า ไม่หวือหวาเหมือนคนอื่น ในทางตรงกันข้ามการเล่นของเขาเต็มไปด้วยความซื่อตรง โดยเฉพาะการกระชากลากบอลแหวกคู่แข่งแบบดื้อๆด้วยความเร็วสูง ความแข็งแกร่ง และการรักษาสมดุลที่ยอดเยี่ยม

 

เช่นกันกับการทำประตูหรือการผ่านบอลที่ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคในระดับหลวงวิจิตรวาทการ แต่เป็นการยิงด้วยความหนักแน่น หรือจ่ายตามช่องแต่ด้วยน้ำหนักและความแม่นยำในระดับสูงสุด

 

สิ่งเหล่านี้ทำให้เอซี มิลาน ซึ่งยังเป็นมหาอำนาจของโลกลูกหนังในเวลานั้นทุ่มเงิน 8.5 ล้านยูโร (6 ล้านปอนด์ในช่วงเวลานั้น) เพื่อคว้าตัวเด็กมหัศจรรย์จากเซา เปาโลมาร่วมทีม โดยที่ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี อดีตประธานสโมสรในตำนานไม่ลังเลเลยสักนิด

 

“เหมือนซื้อถั่วมาแทะเล่น” ดอน ซิลวิโอ เปรียบเทียบให้เห็นว่าสิ่งที่จ่ายกับสิ่งที่ได้จากนักเตะใหม่ของเขามันต่างกันแค่ไหน

 

ย้อนรอยคำทำนายสุดทึ่ง! ก่อนฟุตบอลโลก 2002

 

แบร์ลุสโคนีพูดไม่ผิด และริวัลโดก็พูดถูก กาก้า ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาสู่ทีมชุดใหญ่ของมิลานได้สำเร็จ แม้จะใช้เวลาอยู่บ้างเพราะต้องแข่งขันกับทีมที่มีกองกลางอย่าง คลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ, อันเดรีย ปีร์โล, มัสซิโม อัมโบรซินี และเจนนาโร “ริโน” กัตตูโซ

 

ก่อนที่เขาจะพัฒนาไปถึงจุดที่ใกล้เคียงกับคำว่าไร้เทียมทานได้ในฤดูกาล 2004/05 ในบทบาทเพลย์เมกเกอร์หมายเลข 10 ที่คอยปั้นเกมอยู่ข้างหลัง อังเดร เชฟเชนโก และเอร์นาน เครสโป อีกที

 

ฟอร์มการเล่นของกาก้าในเวลานั้นแทบไม่มีใครหยุดได้ ไม่นับความเป็นคนบุคลิกหน้าตาดีระดับเป็นดาราได้ ยิ่งทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักเตะขวัญใจของแฟนฟุตบอลทั่วโลก

 

หนึ่งในเกมที่กาก้า ฝากผลงานไว้น่าประทับใจที่สุดคือเกมนัดชิงแชมเปียนส์ ลีก ในปี 2005 ที่สนามอตาเติร์ก สเตเดียม เมื่อมีส่วนกับการได้ประตูถึง 2 ลูก โดยเฉพาะประตูที่ 3 ของมิลานที่พลิกบอลหนีสตีเวน เจอร์ราร์ด ก่อนจะแทงทะลุช่องช็อตเดียวตัดแผงหลังลิเวอร์พูล ก่อนที่เครสโปจะใส่สกอร์ที่ทำให้ทีมรอสโซเนรีคิดว่าจะคว้าชัยได้แบบสบายๆ

 

น่าเสียดายสำหรับเขาและทีมที่เกิด “ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล” (Miracle of Istanbul) ลิเวอร์พูลโกงความตายกลับมาคว้าแชมป์ได้ ซึ่งยิ่งทำให้มิลานช้ำหนักเพราะในเซเรีย อา ก็จบฤดูกาลด้วยการเป็นรองแชมป์ต่อจากยูเวนตุส

 

แต่ในฤดูกาล 2006/07 กาก้า สามารถล้างตาให้กับตัวเองและทีมได้สำเร็จในนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก ที่กรีซ ด้วยการเอาชนะลิเวอร์พูล และเกิดภาพระดับไอคอนิก เมื่อกาก้าถอดเสื้อทีมออกมาเปิดเผยให้เห็นเสื้อยืดที่มีข้อความด้านใน “I Belong to Jesus” โดยที่มี แฮร์รี คีลล์ และเจอร์ราร์ด สองนักเตะลิเวอร์พูลยืนขนาบข้าง

 

โดยเรื่องที่อยู่เบื้องหลังคือการที่เขาเคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงในสระว่ายน้ำตอนอายุ 18 ปีที่เกือบจะทำให้เป็นอัมพาต โดยที่คุณหมอบอกให้ครอบครัวทำใจแล้วว่าอาจจะกลับมาไม่เหมือนเดิม แต่สุดท้ายเขาไม่ใช่เพียงแค่หายดีแต่ยังก้าวมาเป็นซูเปอร์สตาร์ลูกหนังได้ด้วย

 

“หมอบอกว่าผมโชคดีมากที่กลับมาเดินได้ปกติ” กาก้าเคยกล่าวไว้ “พวกเขาพูดถึงโชคและครอบครัวของผมพูดถึงพระเจ้า เรารู้ว่าเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ได้ช่วยเราไว้”

 

นี่คือนักฟุตบอลผู้เปี่ยมด้วยศรัทธา เป็นอีกหนึ่งภาพจำของทุกคนที่มีต่อเขา

 

พอๆ กับเรื่องเล่าว่าเขารักษาพรหมจรรย์ของตัวเองไว้ให้ภรรยาในคืนวันวิวาห์เท่านั้น

 

ย้อนรอยคำทำนายสุดทึ่ง! ก่อนฟุตบอลโลก 2002

 

แชมป์ยุโรปในฤดูกาลนั้นทำให้โลกไม่มีข้อสงสัยว่านักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในปีนั้นย่อมหนีไปจากนักเตะเทพบุตรคนนี้ไม่ได้

 

นักเตะที่คาร์โล อันเชล็อตติ เปรียบว่าเหมือน มิเชล พลาตินี, โซคราเตส ตำนานแห่งบราซิลยุค 80 เปรียบว่าเขาเป็นเหมือน ซิโก เพื่อนรักร่วมรุ่นในฟุตบอลโลก 1982 ขณะที่ เปเล มองว่าเขาคล้ายกับ โยฮัน ครอยฟ์ “นักเตะเทวดา” 

 

โดยที่ในปีนั้นกาก้า ได้รับรางวัลใหญ่ทั้งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของ FIFA (FIFA World Best Player) ซึ่งเปเล เป็นผู้เชิญรางวัลมาให้ในงานประกาศที่โรงละครโอเปรา ในกรุงซูริก และรางวัลเกียรติยศ “บัลลงดอร์” (Ballon d’Or) ลูกฟุตบอลทองคำที่มอบให้แก่นักเตะที่เก่งที่สุดที่เล่นในยุโรป (ตามกฎกติกาในเวลานั้น)

 

สิ่งที่น่าสนใจคือในปีดังกล่าวผู้ที่ได้รับรางวัลที่ 2 และที่ 3 คือ คริสเตียโน โรนัลโด และลิโอเนล เมสซี ที่กำลังอยู่ในระหว่างการไต่ระดับขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของโลก

 

กาก้า จึงได้ชื่อว่าเป็นนักฟุตบอลผู้เป็นมนุษย์คนธรรมดาคนสุดท้ายที่ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคของ “คู่ปรับฟ้าประทาน”

 

อย่างไรก็ดีจากจุดสูงสุดในวันนั้นชีวิตของกาก้าในทางเกมลูกหนังตกต่ำลงโดยที่เราไม่ทันได้รู้สึกตัว

 

ในฤดูร้อนปีถัดมา แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่เพิ่งได้เจ้าของใหม่จากอาบูดาบีต้องการซื้อนักฟุตบอลสักคนที่เก่งที่สุดของโลกเพื่อมาเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยใหม่ คนที่พวกเขาต้องการคือกาก้า ซึ่งแม้ว่าแบร์ลุสโคนีจะตั้งค่าตัวไว้ที่ 100 ล้านปอนด์ ซึ่งสูงมากในเวลานั้นแต่เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนที่มีทุนรอนไร้ขีดจำกัด

 

แบร์ลุสโคนี พิจารณาที่จะปล่อยตัวกาก้าออกไปอย่างจริงจังเพื่อแลกกับเงินก้อนใหญ่ ทำให้เกิดการประท้วงรุนแรงจากแฟนมิลาน แม้จะรู้ว่ายากที่จะยับยั้งการย้ายทีมครั้งนี้ได้

 

แต่สุดท้ายในวันที่ 3 ของกระแสข่าว อยู่ๆ กาก้า ก็ปรากฏตัวออกมาให้เห็นผ่านหน้าต่างในที่พักของเขา พร้อมชูเสื้อแดงและดำบอกกับแฟน ๆ ทุกคนที่มาเพื่ออ้อนวอนไม่ให้เขาย้ายไป ว่าตัวเขาเองจะไม่ย้ายไปไหนแน่นอน

 

กาก้า ขอบคุณพระเจ้าที่พยายามทำให้เพื่อนร่วมทีมทุกคนกล่อมไม่ให้เขาย้ายไปอังกฤษ และประตูบานนั้นได้ปิดตายลงไปตลอดกาล (ส่วนแมนฯ ซิตีหันไปคว้าเคร็ก เบลลามี มาร่วมทีมแทน)

 

อย่างไรก็ดีในปีถัดมากาก้า ก็ย้ายออกจากซาน ซิโร จริงๆ เมื่อฟลอเรนติโน เปเรซ คว้าตัวเขามาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 56 ล้านปอนด์ ทำลายสถิติเดิมของซีเนอดีน ซีดาน 

 

เพียงแต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือหลังจากนั้นเปเรซ ได้คว้าตัวคริสเตียโน โรนัลโด มาจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตามมาในเวลาห่างกันเพียงแค่สัปดาห์เดียวด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์

 

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบในชีวิตที่เคยสว่างไสวของเทพบุตรลูกหนัง ที่นอกจากจะประสบปัญหาอาการบาดเจ็บส่วนตัวที่รบกวนการเล่นมาตลอด ยังถูกบดบังด้วยรัศมีของโรนัลโด ผู้ใช้ความมานะพยายายามทลายขีดจำกัดของมนุษย์และไปได้ไกลยิ่งกว่าที่กาก้าเคยไปได้

 

ย้อนรอยคำทำนายสุดทึ่ง! ก่อนฟุตบอลโลก 2002

 

ภาพของกาก้า ค่อยๆ ถูกลบเลือนไปทีละน้อยจนเลือนรางจางลงไป

 

เขาย้ายไปออร์แลนโด ซิตี ในเมเจอร์ลีกสหรัฐ เป็นทีมสุดท้ายของชีวิต และมีโอกาสได้กลับไปเซาเปาโล ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แบบยืมตัวก่อนจะแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 2017

 

ถึงอย่างนั้นกาก้า ยังคงเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่อยู่ในความทรงจำที่สวยงามของหลายคน

 

ด้วยภาพลักษณ์ของนักฟุตบอลที่วางตัวดี ประพฤติตัวเป็นแบบอย่าง มีน้ำใจนักกีฬา ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าพรสวรรค์ในการเล่นที่น่าเหลือเชื่อ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขาใครก็หยุดกาก้าไม่ได้

 

หนึ่งในเกมระดับตำนานคือเกมแชมเปียนส์ ลีก นัดไปเยือนแมนฯ ยูไนเต็ดที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ที่เขาแหวกผ่าน 3 นักเตะปีศาจแดงก่อนจะยิงผ่านเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ อย่างง่ายดาย จนกลายเป็นที่มาของเพลง “ผีกาก้า” ที่แฟนบอลในไทยที่เล่นเกม Winning Eleven คุ้นหูกันเป็นอย่างดี

 

ขณะที่ความทรงจำที่บันทึกไว้ในโลกฟุตบอลนั้น กาก้า เป็นหนึ่งในกลุ่ม “Fantasista” ชุดสุดท้ายของโลก

 

และความทรงจำส่วนตัวของผมเองคือการเดินเข้าร้านเครื่องกีฬา เพื่อซื้อรองเท้ารุ่นใหม่ที่เขาเป็นพรีเซนเตอร์

 

ทุกวันนี้ Adipure คู่นั้นไม่อยู่แล้ว แต่ผมยังมี Adipure ที่ทำขึ้นใหม่เก็บไว้อย่างดีและใส่ลงสนามในบางทีอยู่เสมอ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising