หลังจากที่ No Time to Die ได้จากเราไปแล้วในตารางการฉายปีนี้ ข่าวใหญ่ที่ตามมาจากนั้นคือการกลับมาของหนังแอนิเมชันจาก Pixar บน Disney+ เรื่อง Soul ที่ตอนแรกแว่วว่าจะประกาศหนีเหมือนกัน แต่สุดท้ายหนังเรื่องนี้ก็กลับมาเข้าตารางฉายอีกครั้งในช่วงคริสมาสต์ที่กำลังจะถึงนี้ ถือเป็นความกล้าหาญในการท้าทายโรคระบาดของทางดิสนีย์ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี
แต่ในความน่ายินดีนี้ ก็มีคนไม่ค่อยยินดีด้วยอีกจำนวนมาก นั่นคือบรรดาเจ้าของโรงภาพยนตร์ทั้งหลาย เพราะหนังเรื่อง Soul นั้นจะฉายหลักๆ ที่ช่องสตรีมมิง Disney+ เท่านั้น ซึ่งนั่นแปลว่าเจ้าของโรงภาพยนตร์ในประเทศที่บริการ Disney+ ไปถึงแล้วก็จะไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับหนังเรื่องนี้แต่อย่างใด (แต่ในประเทศที่ยังไม่ได้มี Disney+ ก็ยังคงฉายโรงตามปกติ) กลายเป็นว่าเจ้าของโรงภาพยนตร์ในอเมริกา อังกฤษ และยุโรป ต่างออกมาบ่นกันยับว่าทำไมถึงทำแบบนี้ เพราะพวกเขาก็จะขาดรายได้ไม่ต่างจากตอนที่ No Time to Die เลื่อนฉาย ทั้งๆ ที่โรงหนังในบางพื้นที่ของอเมริกาและบางประเทศในยุโรปก็พร้อมเปิดให้บริการตามปกติ
คำถามต่อมาที่น่าสนใจคือ ดิสนีย์คิดอะไรอยู่ ในขณะที่หลายๆ คนยังพยายามจะเอาหนังฉายโรงให้ได้ หรืออาจจะประนีประนอมด้วยการฉายโรงพร้อมกับสตรีมมิง แต่ดิสนีย์เลือกที่จะตัดโรงหนังทิ้งไปเลยทั้งๆ ที่ฉายได้
จากการอ่านข้อมูลและพูดคุยกับพี่ๆ ในวงการ สิ่งที่น่าสนใจมากๆ สำหรับเหตุการณ์นี้คือ เป็นไปได้ว่าทางดิสนีย์อาจจะเล็งเห็นแล้วว่าอนาคตของการฉายหนังในโรงภาพยนตร์นั้นดูจะมืดหม่นพอสมควร และพวกเราอาจจะต้องอยู่กับสิ่งนี้ไปอีกนาน แทนที่จะนั่งเศร้าฟูมฟาย พวกเขาเลยโอบกอดรับความเปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะเริ่มหาทางออกให้กับมัน หนังที่มีอยู่ในมืออย่าง Soul จึงเป็นเหมือนการทดลองชั้นดี เพราะหนังเรื่องนี้ดูจะมีทุกอย่างเพียบพร้อม ไม่ว่าการที่มันดูเป็นหนังสำหรับทุกเพศทุกวัย เกี่ยวข้องกับดนตรี ทาร์เก็ตกว้างมาก ตัวละครมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ อบอุ่นหัวใจ ดูเป็นหน้าเป็นตาให้กับแบรนด์ Disney+ ได้ไม่ยาก และที่สำคัญคือ หนังเรื่องนี้กำกับโดย Pete Doctor ที่พาหนังไปเวทีออสการ์มาหลายครั้งจาก Up และ Inside Out ดังนั้นการที่พวกเขายอมฉายในเดือนธันวาคมปีนี้เลย มันคือการพาตัวเองลงสู่สนามออสการ์ ซึ่งแน่นอนว่ามันมีสิทธิ์ที่อาจจะชนะอะไรสักอย่างก็เป็นได้ และถ้าสุดท้ายหนังชนะอะไรสักอย่างขึ้นมาจริงๆ คนที่จะได้ประโยชน์ก่อนใครเพื่อนเลยก็คือตัวช่องสตรีมมิง Disney+ เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ Netflix พยายามจะพาหนังตัวเองไปสู่ออสการ์ เพื่อที่รางวัลอาจจะทำให้ตัวช่องสตรีมมิงของพวกเขาเป็นที่น่าเชื่อถือ และเป็นที่รู้จักของคนดูมากขึ้น
ทั้งหมดนี้จึงเป็นการลงทุนที่น่าลอง เพราะการขยับหนีไปปีหน้าก็อาจจะไม่ได้รับประกันความสำเร็จทางด้านรายได้อยู่ดี มาแทงพนันกับเรื่องนี้ในปีนี้อาจจะน่าสนใจกว่าสำหรับตัวดิสนีย์
อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญในเชิงธุรกิจคือ ถ้าหาก Soul ประสบความสำเร็จขึ้นมาจริงๆในช่องสตรีมมิงนั้น มันก็อาจจะได้ผลลัพธ์เกือบจะเท่ากับการฉายโรงก็เป็นได้ เพราะอย่าลืมว่าการฉายหนังในช่องสตรีมมิงของตัวเอง มีข้อดีคือ รายได้ไม่ต้องไปหารครึ่งให้กับโรงภาพยนตร์อีก เก็บเงินค่าฉายมาได้เท่าไรก็เข้ากระเป๋าตัวเองเต็มๆ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครระบุตัวเลขรายได้ชัดๆ ของการฉาย Mulan ใน Disney+ แต่มีผู้คาดการณ์กันว่าคงได้ไปไม่น้อย ทางดิสนีย์จึงกล้าที่จะลงสนามออนไลน์นี้อีกครั้งแบบเต็มตัว
ฟังดูแล้วก็น่าสนใจดีและน่าเป็นกำลังใจให้ แต่พอตัดภาพมาที่บรรดาเจ้าของโรงภาพยนตร์อีกครั้ง อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ทุกคนก็จะขาดรายได้กันอย่างเต็มๆ ที่มากกว่านั้นคือทุกคนรู้สึกถูกทรยศโดยดิสนีย์ สตูดิโอถูกทักท้วงว่าทำไมไม่ช่วยเหลือโรงภาพยนตร์ในช่วงสภาวะที่ยากเข็ญแบบนี้ ทั้งๆ ที่ตัวโรงก็พร้อมฉายอย่างมาก มันทำให้เราคิดไปไกลอีกต่อว่า ดิสนีย์อาจจะแคร์โรงภาพยนตร์น้อยลง และพยายามตั้งตนเป็นโรงภาพยนตร์แบบใหม่ด้วยตัวเอง เมื่อเราลองพิจารณาภาพลักษณ์ของการฉาย Soul รอบนี้แล้ว มันต่างจากบรรดาหนัง Netflix Original ตรงที่ว่า หนังอย่าง The Irishman ของ Netflix นั้น มีความชัดเจนว่าเป็นหนังทำลงสตรีมมิง แต่บวกโบนัสด้วยการฉายโรง (อาจจะเพื่อหวังผลทางออสการ์) ในขณะที่ Soul มีภาพลักษณ์เป็นหนังโรงขนาดใหญ่ชัดเจน ดังนั้นการที่ทางสตูดิโอดึงกลับออกจากโรงมาเปิดตัวเต็มๆ ที่ช่องสตรีมมิงของตัวเองนั้น มันย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ ราวกับตัวสตูดิโอพยายามจะทำให้เส้นแบ่งระหว่างสตรีมมิงและโรงหนังค่อยๆ หายไป ในอนาคตอาจจะไม่มีการแบ่งแยกหนังสตรีมมิงหรือหนังเข้าโรงอีกต่อไปก็เป็นได้
เราเหมือนจะเริ่มมองเห็นแผนการสร้างอาณาจักรครั้งใหม่ของดิสนีย์ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร แต่เป็นสิ่งที่ชวนติดตาม เพราะมันอาจจะเป็นบรรทัดฐานใหม่ของโลกการฉายภาพยนตร์ในอนาคตก็เป็นได้ มันคือโลกที่หนังโรง ยังคงเป็นหนังโรง โดยที่ไม่ต้องอยู่ในโรงภาพยนตร์อีกต่อไป
ขอบคุณภาพจาก: Disney
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์