วาระสำคัญของการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (15 พ.ค.) สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เสนอขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมโครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่กว่า 8 พันล้านบาท โดยเป็นการขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณปี 2561-2563 ประกอบด้วยงานสาธารณูปโภค และงานประกอบอาคารและภายนอกอาคาร, ค่าจ้างที่ปรึกษาและผู้ควบคุมงานก่อสร้าง สำหรับงานสาธารณูปโภค และงานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และค่าใช้จ่ายด้านไอซีที
หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมเรื่องดังกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณและขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ 512.50 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าก่อสร้างอาคารรัฐสภาพร้อมอาคารประกอบ 273.51 ล้านบาท, ค่าควบคุมงานก่อสร้าง 150.45 ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการก่อสร้าง 88.54 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดเป็นค่าใช้จ่ายเร่งรัดให้งานเสร็จเร็วขึ้น
แต่ยังไม่อนุมัติคำของบประมาณ 8,135.56 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าสาธารณูปโภค 1,413.06 ล้านบาท งานระบบประกอบอาคารและเทคโนโลยี 6,493.49 ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงาน 229 ล้านบาท
ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าโครงการยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน และอุปกรณ์เทคโนโลยีบางชิ้นมีราคาแพงเกินไป จึงให้กลับไปทำมาเสนอใหม่
สำหรับการก่อสร้างรัฐสภาใหม่ ย่านเกียกกาย ดำเนินการก่อสร้างโดย บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เริ่มสัญญาแรกตั้งแต่ 8 มิถุนายน 2556 ไปสิ้นสุด 24 พฤศจิกายน 2558
ล่าสุดมีการต่อสัญญาก่อสร้างใหม่เป็นรอบที่ 4 มีผลไปจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2562 ขณะที่ช่วงที่ผ่านมา การก่อสร้างรัฐสภาใหม่มีปัญหามากมายทั้งความล่าช้า ปัญหาการก่อสร้างที่จอดรถที่ไม่ตรงตามสเปก รวมถึงปัญหาระบบไอที ซึ่งเป็นที่มาของการของบประมาณเพิ่มเติมกว่า 8 พันล้านบาท
ก่อนหน้านี้ผู้ที่เกี่ยวข้องชี้แจงว่า ระบบไอทีเดิมที่ออกแบบไว้เป็นระบบอะนาล็อก ไม่ใช่ระบบดิจิทัล และไม่รองรับแอปพลิเคชันสมัยใหม่ และขณะนี้มีเวลาเหลืออีกไม่ถึง 1 ปี ที่ต้องย้ายจากอู่ทองไปรัฐสภาแห่งใหม่ จึงมีความจำเป็นต้องของงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อให้การใช้งานอาคารมีความสมบูรณ์
