เนื่องในวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก หรือ 10 กันยายนของทุกปีเป็นวันที่ทั่วโลกจะช่วยกันรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาด้านสุขภาพจิต และช่วยกันลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายและทำร้ายคนใกล้ชิด
วันนี้ (10 กันยายน) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์ปัญหาการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีความน่ากังวลว่า จากภาพรวมอัตราการฆ่าตัวตายของทั้งประเทศในปี 2562 อยู่ที่ 6.64 ต่อประชากร 100,000 คน หรือมีคนไทยเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 4,419 รายต่อปี
โดยปัจจัยที่เกี่ยวข้องเป็นปัญหาด้านสัมพันธภาพ อาการป่วยกายและจิต สุรา และปัญหาด้านเศรษฐกิจ ตามลำดับ สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2563 ซึ่งเริ่มมีการระบาดของโควิด-19 นั้น มีคนไทยเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 2,551 ราย คิดเป็น 3.89 ต่อประชากร 100,000 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2562 (จำนวน 2,092 ราย) โดยปัญหาด้านสัมพันธภาพยังคงเป็นปัจจัยลำดับแรก ตามมาด้วยปัญหาอาการป่วยกายและจิต เศรษฐกิจ และสุรา ตามลำดับ ซึ่งการเพิ่มขึ้นในอัตรานี้มีความคล้ายคลึงกับการเพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อ 23 ปีก่อน ที่มีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20-30 ในช่วง 3 ปีหลังเกิดวิกฤต
นอกจากนี้กรมสุขภาพจิตยังรู้สึกกังวลต่อสัญญาณการฆ่าตัวตายต่างๆ ในโลกโซเชียล แม้ว่าในปัจจุบันสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก จะมีกลไกป้องกันการถ่ายทอดภาพและวิดีโอการทำร้ายตัวเองหรือการฆ่าตัวตายออนไลน์มากขึ้นแล้ว แต่ยังคงพบข้อความที่ส่งสัญญาณที่มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายอยู่ เช่น ข้อความสั่งเสีย ข้อความบอกลา ข้อความวางแผนการทำร้ายตัวเอง ซึ่งกลุ่มคนที่โพสต์ข้อความต่างๆ เหล่านี้คือกลุ่มคนที่ควรได้รับความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตอย่างเร่งด่วน แต่บางครั้งไม่สามารถติดต่อให้เข้าสู่ระบบบริการได้ หรือแม้แต่บางครั้งไม่สามารถหาข้อมูลหรือช่องทางติดต่อกลับไปยังบุคคลนั้นได้
ดังนั้นการศึกษาและพัฒนาระบบการทำงานกับกองปราบปรามในด้านการป้องกันการฆ่าตัวตายเชิงรุกในครั้งนี้ จึงถือเป็นการเปิดมิติการทำงานรูปแบบใหม่ของงานด้านสุขภาพจิตของประเทศไทยในอนาคต ร่วมกับการให้บริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ทางด้าน พล.ต.ต. จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการกองปราบปราม กล่าวว่า ทางกองปราบปรามได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือบุคคลที่ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายและไลฟ์สดฆ่าตัวตายบนโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก โดยกองปราบปรามร่วมกับกรมสุขภาพจิต และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังบนโลกออนไลน์ ทั้ง Drama-Addict, หมอแล็บแพนด้า, แหม่มโพธิ์ดำ และอื่นๆ ได้เริ่มพิจารณาระบบการส่งต่อข้อมูลบุคคลที่ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายบนโลกโซเชียล เพื่อให้ทางกองปราบปรามเร่งประสานสถานีตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบเข้าช่วยเหลือบุคคลดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที
ถึงแม้ขอบข่ายงานจะอยู่นอกเหนือคดีอาชญากรรมที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองปราบปราม แต่กองปราบปรามถือว่าการช่วยเหลือบุคคลที่ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายบนโลกโซเชียลเป็นหนึ่งในภารกิจที่สำคัญของหน่วย เพราะเรามองว่าความทุกข์ของพี่น้องประชาชนก็คือความทุกข์ของเรา อะไรที่เราสามารถเข้าไปช่วยให้พี่น้องประชาชนพ้นภัยหรือให้คลายทุกข์ลงได้บ้างเรายินดีทำเต็มที่
“แนวทางการทำงานคือ กองปราบปรามจะมีเจ้าหน้าที่ประจำการค่อยประสานกับทางอินฟลูเอนเซอร์และกรมสุขภาพจิตตลอด 24 ชั่วโมง หากเราได้รับการประสานผู้ที่มีความเสี่ยง เราจะช่วยตรวจสอบว่าบุคคลที่มีความเสี่ยงนั้นๆ อยู่ในพื้นที่ไหน และจะรีบประสานสถานีตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบเข้าให้การช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดจนกว่าจะเรียบร้อย จากนั้นทางกรมสุขภาพจิตก็จะเข้ามาดูแลผู้มีความเสี่ยงต่อไป” พล.ต.ต. จิรภพ กล่าว
พล.ต.ต. จิรภพ กล่าวอีกว่า การทำงานร่วมกันระหว่างกองปราบปรามกับกรมสุขภาพจิตถือเป็นมิติใหม่ของการทำงานภาครัฐที่มีเป้าหมายเดียวกันคือ ลดความทุกข์ของพี่น้องประชาชน และทางกองปราบปรามอยากฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกท่านว่า ทุกปัญหามีทางออกเสมอ และครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากเรามองเห็นบุคคลในครอบครัวมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น การพูดคุยกัน เข้าใจกัน หาทางแก้ปัญหาร่วมกัน จะช่วยให้ปัญหาต่างๆ คลี่คลายได้
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า