วันนี้ (19 สิงหาคม) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดเป็นวงกว้างทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัด จากเดิมที่มาตรการสวมหน้ากากเพื่อป้องกันโควิดจะเน้นปฏิบัติเมื่อออกจากบ้านหรือเดินทางไปยังที่สาธารณะที่มีผู้คนหนาแน่น แต่ปัจจุบันกลับพบผู้ติดเชื้อจากการสัมผัสสมาชิกในครอบครัว หรือเกิดกับผู้ใกล้ชิดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากฐานข้อมูลการเฝ้าระวังตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 14 สิงหาคม 2564 พบว่า กลุ่มเด็กปฐมวัยติดเชื้อในครอบครัว ร้อยละ 60 วัยเรียนติดเชื้อในครอบครัว ร้อยละ 53 และผู้สูงอายุติดเชื้อในครอบครัว ร้อยละ 46 จึงจำเป็นต้องยกระดับมาตรการป้องกันโควิด ขั้นสูงสุด (Universal Prevention) ด้วยการสวมหน้ากากในบ้านให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนในบ้าน
จากข้อมูลอนามัยโพลล่าสุด พบว่า ครอบครัวไม่มีการประเมินความเสี่ยงของทุกคนที่มาจากนอกบ้านร้อยละ 73 จึงส่งผลให้มีความกังวลต่อการแพร่เชื้อในบ้านร้อยละ 69 ซึ่งเมื่อถามถึงการสวมหน้ากากในบ้านพบว่า ส่วนใหญ่เห็นด้วยและคิดว่าทำได้เพียงร้อยละ 55
“นอกจากนี้สมาชิกภายในบ้านควรประเมินความเสี่ยงผ่าน ‘ไทยเซฟไทย’ ของกรมอนามัย และหากเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง เช่น สัมผัสหรือใกล้ชิดผู้ติดเชื้อทั้งที่มีอาการและไม่มีอาการ ผู้ที่เริ่มมีอาการสงสัยว่าติดเชื้อโควิด ควรมีการตรวจด้วย Antigen Test Kit หรือ ATK เพื่อคัดกรองเบื้องต้น และขอให้ทุกคนในครอบครัวสวมหน้ากาก เมื่ออยู่ในบ้านเพิ่มมากขึ้นและสวมให้ถูกวิธี โดยให้ปิดจมูก ปาก คาง และกระชับกับใบหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสวมหน้ากากเมื่อทำกิจกรรมใกล้ชิดกับสมาชิกในครอบครัว เช่น ดูทีวีร่วมกัน พูดคุยกัน เมื่ออยู่ในห้องปรับอากาศร่วมกัน และต้องสวมหน้ากากเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียงในบ้าน รวมทั้งยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกัน แยกการใช้อุปกรณ์ส่วนตัว ลดการออกไปสถานที่เสี่ยงนอกบ้าน หมั่นล้างมือเป็นประจำ ทำความสะอาดอุปกรณ์และบริเวณที่จับร่วมกันบ่อยๆ เช่น ตู้เย็น ลูกบิดประตู ราวบันได โต๊ะอาหาร และให้งดการกินอาหารร่วมกันไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิดในครอบครัว” นพ.สุวรรณชัย กล่าว