ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA วันนี้ (6 สิงหาคม) ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขาย โดยล่าสุดราคาหุ้นอยู่ที่ 654 บาท เพิ่มขึ้น 78 บาท หรือ 13.54% และยังมีมูลค่าการซื้อขายสูงเป็นอันดับหนึ่ง
โดยเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา DELTA ให้ข้อมูลนักลงทุนในกิจกรรม Opportunity Day และได้เพิ่มเป้าหมายรายได้ปีนี้เป็นเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากเดิมคาดว่าจะเติบโตได้ 5-10% เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการสินค้าของกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และกลุ่มธุรกิจ Data Center ที่มีความต้องการขายงานต่อเนื่อง และธุรกิจ Clound Storage รวมถึงบริษัทมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตและสายการผลิตเพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่ปีนี้บริษัทวางแผนที่จะลงทุนในด้านงานวิจัยและพัฒนา (R&D) เพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัย บล.หยวนต้า ประเมินว่าการระบาดของโควิดทำให้มาเลเซียต้องปิดโรงงานผลิต 14 วัน ส่งผลกระทบต่อการสั่งซื้อ Raw Material ของ DELTA ในปลายเดือนกรกฎาคม 2564
นอกจากนี้ การระบาดที่รุนแรงในประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ ทำให้ DELTA ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการบริหารจัดการโรงงานหลัก ดังนี้
- ตรวจสอบพนักงานโดยการใช้ Rapid Test ในพนักงานกลุ่มเสี่ยง
- เช่าที่พักอาศัยสำหรับให้พนักงานในกรณีที่ต้องทำ Home Isolation
- พยายามจัดหาวัคซีนให้พนักงานให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
การจัดการที่เข้มข้นทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าล่วงเวลา (OT) หรือค่าเช่าที่พักพนักงาน เป็นต้น และอาจหมายถึงการผลิตที่ทำได้ไม่เต็มศักยภาพในบางพื้นที่ กดดันต่อความสามารถในการทำกำไร แต่จะได้ GPM ที่ฟื้นตัว เพราะค่าเงินบาทที่อ่อนค่าช่วยชดเชยต้นทุนส่วนเพิ่มบางส่วน โดยภาพรวมหากโควิดลากยาว 2H อาจทรงตัวหรือดีกว่า 1H ไม่เท่ากับที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้า
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย บล.หยวนต้า คาดยอดขายของ DELTA ในไตรมาส 3/64 ทรงตัว หรือลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 2 แม้ดีมานด์ยังแข็งแกร่งมากก็ตาม
โดย DELTA รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2/64 มีกำไรสุทธิ 1,655.38 ล้านบาท ลดลง 5.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,021.5 ล้านบาท
ไตรมาสนี้มียอดขายสินค้าและบริการ 20,640 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากความต้องการของลูกค้าในกลุ่มโซลูชันสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle Solutions) ที่เพิ่มขึ้นสูง สะท้อนการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดของตลาดผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึงแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องในตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ Cloud Storage และ Data Center
ขณะที่กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 4,459 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.1% ได้แรงหนุนจากยอดขายที่เติบโตโดดเด่นเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (รวมการวิจัยและพัฒนา) จำนวน 2,731 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.7% เนื่องจากต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมด้านวิจัยและพัฒนาในยุโรป
ส่วน 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 3,412.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,878 ล้านบาท
