×

ดีลอยท์ ประเทศไทย เผย เศรษฐกิจไทยปี 68 ยังโตต่ำ เหตุ Trump 2.0 กดดันภาคส่งออก ขณะที่โลกร้อนอาจทำไทย ‘สูญรายได้’ มากกว่า 6 หมื่นล้านบาท

31.12.2024
  • LOADING...
ดีลอยท์ เศรษฐกิจไทย

ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่าเศรษฐกิจไทยในปี ‘งูเล็ก’ จะเผชิญกับความท้าทายมากกว่าปี ‘งูใหญ่’ ที่ผ่านมาหรือไม่ หากย้อนกลับไปในปี 2533 ประเทศไทยเคยมีอัตราการเติบโตของ GDP สูงสุดในภูมิภาคอาเซียนที่ 11% โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2533-2538 อยู่ที่ 8.7% ขณะที่อาเซียนมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 5.6% อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเริ่มลดลงและต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2557-2566) GDP ของไทยเติบโตเพียง 1.8% ขณะที่อาเซียนมีการเติบโตมากกว่า 3.7%

 

ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อรายเดือน ประเทศไทยยังคงสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เคยมีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 11% นับตั้งแต่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ประเทศอินโดนีเซียและเวียดนามเคยเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่สูงกว่า 80% ในปี 2541 และกว่า 28% ในปี 2553 ตามลำดับ ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 อาจเติบโตเพียง 0.4% แต่จะเริ่มเข้ากรอบเป้าหมายที่ 1.1% ในปี 2568

 

อัตราเงินเฟ้อในระดับต่ำดังกล่าวบวกกับการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม 2567 ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต แม้จะมีการปรับลดไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนไทยปรับฤดูกาล ณ ไตรมาส 2 ปี 2567 ยังสูงถึง 89.8% ต่อ GDP โดยกว่า 28% เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ข้อมูลจากเครดิตบูโรยังระบุว่ายอดหนี้เสีย ณ เดือนกันยายน 2567 สูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน การปรับอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบต่อทิศทางของค่าเงินบาท หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออก เนื่องจากผู้ส่งออกจะได้รับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าในตลาดต่างประเทศ

 

‘สวิตเซอร์แลนด์’ จะสำคัญมากขึ้นในฐานะตลาดส่งออกของไทย

 

ดร.นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในฐานะตลาดส่งออกของไทย โดยข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ประเทศไทยส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์มูลค่ากว่า 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้สวิตเซอร์แลนด์มีแนวโน้มที่จะเป็นคู่ค้าลำดับที่ 2 ของไทยในยุโรป ขณะเดียวกันยังมีการเจรจาเกี่ยวกับความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสวิตเซอร์แลนด์ ในกรอบการเจรจา Free Trade Agreement ระหว่างไทยและสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ซึ่งรวมถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วย

 

ทัศดา แสงมานะเจริญ เจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาอาวุโส Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นโยบายทรัมป์ 2.0 ที่เพิ่มความเสี่ยงทางการค้าโลกจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ประเทศไทยและผู้ส่งออกต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย โดยในปี 2566 ประเทศไทยส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นมูลค่ากว่า 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 17% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกว่า 18% ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ดังนั้นการเพิ่มภาษีดังกล่าวจึงอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจของไทยอย่างมีนัยสำคัญ

 

‘โลกร้อน’ ทำไทยสูญรายได้มากกว่า 6 หมื่นล้านบาทต่อปี 

 

ทั้งนี้ ดีลอยท์ ประเทศไทย มองว่า ในสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การบริโภคจากภาคเอกชนและการท่องเที่ยวยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักสำหรับการเติบโตของ GDP ในปี 2568 โดยข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยควรพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้น โดยมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้มากกว่า 6 หมื่นล้านบาทต่อปี จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความท้าทายนี้ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เช่น การพัฒนามหรสพ พิพิธภัณฑ์ และดนตรีในร่ม เป็นแนวทางที่สำคัญ นอกจากนี้สถานที่กลางแจ้งควรมีการจัดเตรียมด้านแสงสว่างและการคมนาคมที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถปรับเวลาการท่องเที่ยวให้หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

นอกเหนือจากมุมมองด้านเศรษฐกิจแล้ว ในส่วนของด้านธุรกิจต่างๆ ดีลอยท์ ประเทศไทย สรุปความท้าทายสำคัญในปี 2568 ดังนี้

 

  1. ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทาน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ และการขาดแคลนทรัพยากร มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของธุรกิจ ซึ่งจำเป็นต้องมีแนวปฏิบัติที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ รวมถึงการนำเทคโนโลยีการคาดการณ์มาใช้เพื่อลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

 

  1. แรงกดดันด้านความยั่งยืน บริษัทต่างๆ ต้องสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและข้อบังคับทางกฎหมาย ภายใต้การตรวจสอบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เพิ่มขึ้น

 

  1. การผสานรวม AI และการพัฒนาทักษะใหม่ของแรงงาน การนำระบบ AI ขั้นสูงมาใช้ควบคู่กับการจัดการปัญหาด้านอคติ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และความอัตโนมัติ จำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการกำกับดูแลของมนุษย์กับนวัตกรรม การพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วจำเป็นต้องยกระดับทักษะแรงงานอย่างมาก ซึ่งก่อให้เกิดช่องว่างด้านความสามารถและความท้าทายในการรักษาบุคลากรในองค์กร

 

“การเติบโตของ AI แบบ Agentic ถือเป็นแนวโน้มสำคัญในวงการ AI ที่ช่วยส่งเสริมการตัดสินใจแบบอัตโนมัติและมีเป้าหมายที่ชัดเจน นอกเหนือจากการสร้างเนื้อหา ระบบเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ส่งเสริมนวัตกรรม และยกระดับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร โดย AI แบบ Agentic แตกต่างจาก Generative AI ที่มุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรมที่ซับซ้อนเพื่อบรรลุเป้าหมายเฉพาะ โดยอาศัยการเรียนรู้ของเครื่องและระบบอัตโนมัติ” ดร.นเรนทร์ กล่าว

 

การประยุกต์ใช้ AI แบบ Agentic ครอบคลุมถึงการบริการลูกค้า การผลิต การขาย และการดูแลสุขภาพ ซึ่งนำเสนอความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของแรงงาน นวัตกรรม และความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายในด้านการประสานงานของทีมงาน การปรับระดับความไว้วางใจ และการกำหนดเป้าหมายความสำเร็จ ซึ่งต้องอาศัยเป้าหมายที่ชัดเจน บทบาทของทีมงานที่มีประสิทธิภาพ และการกำกับดูแลที่สมดุล เพื่อปลดล็อกศักยภาพการเปลี่ยนแปลงของ AI แบบ Agentic และจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในขณะเดียวกัน

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X