วันนี้ (17 กรกฎาคม) ที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ลุมพินี พล.ต.ต. นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และ พล.ต.ต. พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แถลงความคืบหน้ากรณีพบศพชาวเวียดนาม 6 คนเสียชีวิตในโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ
พล.ต.ต. นพศิลป์ กล่าวชี้แจงรายละเอียดการเดินทางเข้าประเทศไทยของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คน พบว่ากลุ่มแรกเดินทางเข้ามาครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม มาจากโฮจิมินห์ซิตี ประเทศเวียดนาม จากนั้นบุคคลที่เหลือได้ทยอยเดินทางเข้ามาและแยกย้ายกันเข้าพัก
ทั้ง 6 คนเป็นผู้เช็กอินด้วยตนเอง ไม่มีบุคคลภายนอกเข้าไปในห้องพักแต่ละห้อง จากการตรวจสอบเว็บไซต์จองโรงแรมพบว่าจองเข้าพักทั้งหมด 7 คน โดยคนที่ 7 ที่เป็นน้องสาวของหนึ่งในผู้เสียชีวิต ซึ่งเดินทางเข้ามาตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม ได้เดินทางกลับเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม ตำรวจคาดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุดังกล่าว
พล.ต.ต. นพศิลป์ กล่าวถึงไทม์ไลน์สำคัญช่วงเกิดเหตุว่า จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณห้อง 502 ที่เกิดเหตุ มีการจองเข้าพักตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม มีเพียงบุคคล 6 คนเข้าใช้ห้อง 502 โดยในวันที่ 15 กรกฎาคม จากการสอบถามพนักงานในโรงแรม ผู้เข้าพักในห้อง 502 คือ Sherine สัญชาติอเมริกัน ได้สั่งอาหารรอบแรกเป็นข้าวผัด 5 จาน ต้มยำกุ้ง 4 ถ้วย ผัดผักรวม 3 จาน และผัดผักบุ้ง 1 จาน พร้อมด้วยชา 2 กระบอก และชุดน้ำชา 6 แก้ว หลังจากนั้นสั่งอาหารเพิ่มรอบที่ 2 เป็นข้าวผัด 1 จาน และกำชับให้นำมาส่งที่ห้องในเวลา 14.00 น. แต่พนักงานมาเสิร์ฟก่อนเวลา โดยเข้าไปส่งในเวลา 13.51 น. วางไว้บนโต๊ะภายในห้อง และพบ Sherine อยู่ภายในห้องเพียงคนเดียวเป็นผู้รับอาหาร
พล.ต.ต. นพศิลป์ กล่าวต่อว่า ทางพนักงานเสนอตัวที่จะชงชาให้ แต่ Sherine กล่าวปฏิเสธ แจ้งว่าจะทำเอง พนักงานจึงออกจากห้องพัก ประเมินเวลาที่อยู่ในห้องทั้งหมดประมาณ 6 นาที คือถึงเวลา 13.57 น. หลังจากนั้นภาพวงจรปิดพบว่าผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ ได้ทยอยนำกระเป๋าเดินทางมาไว้ที่ห้อง 502 และเข้าไปในห้องในเวลาประมาณ 14.17 น. หลังจากนั้นภาพจากกล้องวงจรปิดไม่พบว่ามีผู้ใดเดินออกมาจากห้องพักอีก
ส่วนมูลเหตุจูงใจการก่อเหตุครั้งนี้ ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ปมปัญหาหนี้สิน มีนายหน้าชักชวนลงทุน 10 ล้านบาทไทย มีการทวงติดตามหนี้หลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ
พล.ต.ต. นพศิลป์ ระบุว่า ผลการตรวจสารพิษล่าสุดพบเป็นสารไซยาไนด์ตกค้างอยู่ในกาน้ำชา และพบคราบที่แก้ว สอดคล้องกับผลการตรวจสภาพร่างผู้ชายในกลุ่มที่มีสารพิษไซยาไนด์ในเลือด ไม่มีร่องรอยการทำร้าย ลักษณะเสียชีวิตฉับพลัน เพราะไม่มีการดิ้นทุรนทุราย นอกจากนี้ยังพบถุงชาในถังขยะอีกด้วย
ส่วนการตรวจกระเป๋าทั้ง 8 ใบ พบแค่เอกสารจัดการเรื่องที่ดิน ยังไม่พบสารพิษ จึงเชื่อว่า 1 ใน 6 ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้ลงมือก่อเหตุโดยใช้สารดังกล่าว แต่จะนำเข้ามาหรือซื้อในประเทศไทยนั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดไม่พบบุคคลนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง จนถึงเวลากำหนดเช็กเอาต์ที่เจ้าหน้าที่โรงแรมเข้าไปดู รวมทั้งไม่มีบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้า-ออกประตูด้านหลังห้อง
พล.ต.ต. นพศิลป์ กล่าวว่า จากการสอบปากคำครอบครัวทราบว่า ในกลุ่มผู้เสียชีวิตมีผู้ที่เป็นสามี-ภรรยาประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างถนนในประเทศเวียดนาม ซึ่งได้ร่วมลงทุนสร้างโรงพยาบาลในประเทศญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ผู้เป็นเจ้าหนี้-ลูกหนี้ได้นัดหมายให้ไปสะสางธุรกิจกันที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ติดขัดเรื่องการขอวีซ่า จึงเปลี่ยนมาเป็นประเทศไทย
พล.ต.ต. นพศิลป์ กล่าวย้ำว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คน ไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมหรือแก๊งต่างๆ ที่เลือกมาก่อเหตุในประเทศไทย