สีหน้าและแววตาของหัวหอกชาวอุรุกวัยไม่สามารถปิดกั้นความรู้สึกเจ็บปวดและรวดร้าวได้ไหว
ดาร์วิน นูนเญซ ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามอีกครั้งในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกนัดที่ลิเวอร์พูลบุกไปเฉือนเอาชนะคิโรนาได้ 1-0 เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นวันที่ทีมทำผลงานกันได้ดีมากนัก (จน อาร์เน สลอต ต้องออกมาตำหนิเบาๆ)
แต่สำหรับกองหน้าเจ้าของค่าตัว 85 ล้านปอนด์จากเบนฟิกา เขาเล่นได้แย่เสียยิ่งกว่าแย่ และไม่ได้แย่แค่เกมเดียวด้วย เพราะฟอร์มการเล่นของนูนเญซดำดิ่งมาสักพักแล้ว
ด้วยฟอร์มการเล่นแบบนี้ทำให้เครื่องหมายคำถามสำหรับกองหน้า – ที่ความจริงแล้วก็เป็นที่รักของแฟนบอลไม่น้อย – ขยายใหญ่จนตัวเท่าฝาบ้าน
‘ดาร์วิโน’ ของใครหลายคนยังเหลือความหวังในแอนฟิลด์ไหม? และเขาต้องทำอย่างไรถึงจะกลับมาเรียกฟอร์มยิงระเบิดให้ได้อีกครั้ง
ภาพการกลับมาลงฝึกซ้อมแบบเต็มที่อีกครั้งของ ดีโอโก โชตา และ เฟเดริโก เคียซา ที่บาดเจ็บยาวมาร่วม 2 เดือน เป็นภาพที่ชวนกังวลใจแทนนูนเญซที่ได้โอกาสลงสนามต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาในบทบาทของศูนย์หน้าตัวเป้า
โอกาสที่น่าจะดีที่สุดแล้วสำหรับการสร้างความมั่นใจ ไม่ใช่แค่กับตัวเองแต่รวมถึงการชนะใจของ อาร์เน สลอต นายใหญ่คนใหม่ด้วย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ต่างอะไรจากสีหน้าของกองหน้าวัย 25 ปีที่ย้ายมาจากเบนฟิกาในฤดูกาล 2022/23 ที่เดินออกจากสนามอย่างคอตกและแววตาที่แสนเศร้า
ในเกมกับคิโรนา นูนเญซได้โอกาสอยู่ในสนามทั้งสิ้น 71 นาทีด้วยกัน
โดยที่ในระยะเวลานั้นเขาได้สัมผัสบอลเพียงแค่ 16 ครั้ง และจ่ายบอลสำเร็จเพียงแค่ 4 ครั้ง จาก 8 ครั้ง ซึ่งหนึ่งในการจ่ายพลาดเป็นการจ่ายพลาดในแบบที่แฟนบอลได้แต่ทำตัวเหมือนพัดลมคือส่ายหัวไปมา
ที่สำคัญที่สุดคือในโอกาสสำคัญ 4 ครั้งที่ลิเวอร์พูลได้ในเกมนี้ เขาทิ้งโอกาสไป 2 ครั้ง โดยเฉพาะจากจังหวะที่ โม ซาลาห์ แทงบอลให้หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษแต่ไม่สามารถยิงผ่านผู้รักษาประตู เปาโล กาซซานิกา ของคิโรนาได้
เครดิตส่วนหนึ่งต้องยกให้ประตูวัย 32 ปีที่เคยมาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกกับท็อตแนม ฮอตสเปอร์
แต่อีกส่วนก็ต้องบอกว่าจังหวะการจบสกอร์ของนูนเญซไม่เฉียบคมมากพอ ยิงได้ไม่ ‘คลีน’ พอที่จะสร้างปัญหาให้กับกาซซานิกามากสักเท่าไรนัก
อันที่จริงภาพจังหวะการจบสกอร์ที่ขาดความเฉียบคมเป็นเรื่องปกติชินตาไปแล้วสำหรับแฟนลิเวอร์พูล เพราะมีให้เห็นตลอดระยะเวลา 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งดาร์วินไม่ได้พัฒนาเทคนิคเรื่องการยิงประตูตามไปด้วย ไม่นับในเรื่องของประโยชน์ที่มีต่อทีมในภาพรวม
และภาพนั้นยิ่งเห็นได้ชัดในเกมพรีเมียร์ลีกนัดก่อนหน้านี้ที่ลิเวอร์พูลเสมอนิวคาสเซิล 3-3 โดยที่ อเล็กซานเดอร์ อิซัค หัวหอกแม็กไพส์นอกจากจะทำประตูสุดยอดจากนอกกรอบเขตโทษแล้วยังมีส่วนร่วมกับเกมรุกของทีมโดยตลอด
แล้วนูนเญซผิดตรงไหน?
ให้ความยุติธรรมต่อกองหน้าที่ถูกมองว่า ‘ดิบ’ (Raw) ที่สุดคนหนึ่งในรอบสิบปีของพรีเมียร์ลีก
นูนเญซเป็นนักเตะที่มีความพยายามเป็นเลิศ ไม่เคยหยุดวิ่งยามเมื่อได้ลงสนาม และพยายามช่วยทีมอย่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะยามลงมาช่วยเกมรับที่มักจะมีจังหวะแย่งบอลสวยๆ วิ่งเพรสสุดตัว หรือการเข้าปะทะที่เรียกเสียงเฮจากแฟนบอลได้เสมอ
แต่สิ่งที่ทุกคนคาดหวังจากเขาคือ ‘ประตู’ และนั่นกลายเป็นปัญหาใหญ่
ปัญหานั้นเริ่มก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่ช่วง 2 ปีที่เขาอยู่ใต้การนำของ เจอร์เกน คล็อปป์ ที่แม้ว่าผลงานจะไม่ได้ถึงกับขี้เหร่นัก โดยเฉพาะในฤดูกาล 2023/24 ที่ทำประตูได้ 18 ลูก (ซึ่งเป็นประตูสำคัญที่นำชัยชนะให้ทีมหลายลูก) เพิ่มขึ้นจากฤดูกาลก่อนหน้าที่ยิงได้ 15 ประตู (แต่ค่าเฉลี่ยจำนวนประตูต่อนาทีเท่ากันที่ 158 นาทีต่อประตู)
นูนเญซยังมีส่วนช่วยในการผ่านบอลให้เพื่อนทำประตูได้อีกถึง 13 ประตูด้วย โดยเฉพาะการประสานกับ โม ซาลาห์
ในช่วงนี้แม้ผลงานจะใช้ได้แต่ทุกคนมองเห็นปัญหาของเขาอย่างชัดเจนคือการขาดความสม่ำเสมอ (Consistency) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความนิ่ง ความเยือกเย็น (Composure) ที่ทำให้เขามักจะพลาดโอกาสดีๆ อยู่เสมอ บางเกมก็พลาดหลายครั้งจนส่งผลกระทบต่อทีมตามไปด้วย
ทั้งๆ ที่คล็อปป์พยายาม ‘เซ็ต’ ระบบการเล่นที่เอื้อต่อการที่นูนเญซจะแสดงผลงานได้มากที่สุด ใช้จุดเด่นในเรื่องความเร็วและสัญชาตญาณในการหาพื้นที่อย่างดีที่สุดแล้ว โดยไม่ต้องเล่นเป็น False 9 ในแบบเดียวกับ โรแบร์โต เฟียร์มิโน แล้ว (เพราะเป็นผู้เล่นคนละสไตล์ และไม่มีใครจะเล่นในแบบนั้นได้อีก)
จุดนี้เองที่สำคัญ เพราะเมื่อคล็อปป์ไม่อยู่ นูนเญซต้องพยายามปรับตัวเข้ากับระบบและสไตล์ใหม่ของ อาร์เน สลอต ที่แม้ว่าหลายอย่างจะคล้ายคลึงกับระบบเดิมของบอสชาวเยอรมัน
แต่จุดสำคัญอย่างตำแหน่งกองหน้าตัวเป้านั้น วิธีการเล่นแตกต่างไปจากเดิมพอสมควร
ระบบใหม่ของสลอตต้องการให้กองหน้าเล่นอย่างอดทนและช่วยเหลือทีมมากกว่าแค่การปักหลักรอทำประตูอย่างเดียว ซึ่งนั่นทำให้เราได้เห็นนูนเญซพยายามวิ่งไล่บอลช่วยเพื่อนจนบางครั้งลงมาจนถึงหน้าปากประตูของตัวเอง
ถามว่าเป็นเรื่องดีไหม? ดี
แต่ถามว่าใช่งานของตัวเองจริงๆ ไหม? คำตอบอาจจะไม่ใช่
อีกทั้งด้วยสไตล์ ‘Slot Machine’ ลิเวอร์พูลไม่ได้เล่นบอลแบบฉาบฉวยที่รวดเร็วปรู๊ดปร๊าด ชิงเหลี่ยมในพื้นที่สุดท้ายกับกองหลังคู่แข่งเหมือนเดิม แต่เล่นเซ็ตบอลอย่างอดทนเพื่อจะรอจังหวะเปลี่ยนเข้าทำเร็ว
หลายครั้งที่นูนเญซประจำตำแหน่งแล้วแต่เพื่อนไม่ให้จนช้าเกินไป
และอีกหลายครั้งที่เขาทำทางได้แล้วแต่เพื่อนไม่ให้เพราะไม่ไว้ใจ
กลายเป็นกองหน้าคนอื่นๆ ในทีมที่ยิงกันสนุกเท้า ซาลาห์ 16 ประตู, หลุยส์ ดิอาซ 9 ประตู, โคดี กักโป 8 ประตู และ โชตา ขนาดเจ็บไปนานร่วม 2 เดือนก็ยิงไป 4 ประตู ขณะที่เขาทำได้แค่ 3 ประตูกับอีก 2 แอสซิสต์
ตัวเลขอื่นๆ ก็น่าใจหาย เมื่อเทียบฤดูกาล 2024/25 กับฤดูกาลที่แล้ว 2023/24
- ค่าเฉลี่ยโอกาสยิงลดจาก 4.71 เหลือ 2.32 ต่อ 90 นาที
- ค่าคาดการณ์ได้ประตู (Expected Goals) ลดจาก 0.72 เหลือ 0.3
- ค่าคาดการณ์ผ่านบอลได้ประตู (Expected Assists) ลดจาก 0.26 เหลือ 0.09
กองหน้าเมื่อยิงไม่ได้ก็ไม่เหลือความมั่นใจ
เมื่อไม่เหลือความมั่นใจนานๆ เข้า ความสุขก็ไม่มีเหมือนกัน และมันก็สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนบนใบหน้าของเขา
คำถามที่น่าสนใจคือแล้วนูนเญซจะยังมีอนาคตกับลิเวอร์พูลไหม?
ในเวลานี้ อาร์เน สลอต ยังไม่ตัดหางปล่อยวัดกองหน้ารายนี้อย่างแน่นอน เพราะขุมกำลัง (Squad Depth) ของลิเวอร์พูลมีไม่มากนัก อีกทั้งนักเตะอย่างโชตาหรือเคียซาก็มีแนวโน้มที่จะบาดเจ็บง่าย ดาวรุ่งอย่าง เจย์เดน แดนส์ ก็เพิ่งหายกลับมา ต้องการเวลาอีกมาก
แต่จากที่ผ่านมาเราอาจอนุมานได้ว่าสลอตเองก็ไม่สามารถที่จะหาทาง Unlock นูนเญซได้เหมือนกัน
เรื่องนี้ไปไกลกว่าแค่เรื่องของอุปสรรคกำแพงภาษา แต่เป็นเรื่องของ Mindset และความฉลาดในเกมฟุตบอล (Football Intelligence) ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นจุดอ่อนของนูนเญซ
ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กเกเร แต่เรียนรู้ช้า บางทีก็ช้าจนเกินไป
อีกทั้งเป็นนักฟุตบอลที่พึ่งพา ‘อารมณ์’ และ ‘ความรู้สึก’ มากจนเกินไป ซึ่งหากจำกันได้ในช่วงปีที่แล้วที่นูนเญซเข้าฝักนั้นมาจากช่วงที่ไปรับใช้ทีมชาติอุรุกวัย และได้รับการแนะนำจาก มาร์เซโล บิเอลซา ปรมาจารย์ลูกหนังที่คุมทีมจอมโหดอยู่ จนดูมีความสุขและสนุกกับการเล่นอีกครั้ง
นูนเญซยังเป็นนักเตะที่ผูกชีวิตกับโซเชียลมีเดีย เคยมีปัญหางอแงในเรื่องการโดนแฟนบอลวิจารณ์อย่างหนักมาเป็นระยะ เรียกว่ารับมือกับเรื่องแบบนี้ไม่เก่ง
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะหมดอนาคตหรือไม่มีประโยชน์เลยสำหรับทีม
ตัวเลขสถิติบางอย่างของเขาดีขึ้นในฤดูกาลนี้เมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อน เช่น
- การเข้าสกัดบอลและการตัดบอลเพิ่มจาก 1.1 เป็น 2.17
- การพยายามเข้าสกัดบอลเพิ่มจาก 1.01 เป็น 1.59
แปลว่าการวิ่งพล่านของเขาก็ไม่ได้ไม่มีความหมายเสียทีเดียว
และอย่างน้อยการมีผู้เล่นที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้แบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีเสมอ เพราะต่อให้เล่นไม่ดี 10 นัด แต่ขอแค่เล่นดีเกมเดียวและทำประตูสำคัญได้ก็นับว่าเพียงพอ ซึ่งด้วยศักยภาพในตัวแล้วนูนเญซยังเหลือของดีให้ปลดปล่อยออกมาอีกมาก
เพียงแต่อย่างแรกเขาน่าจะต้องปลดล็อกตัวเองในเรื่องของจิตใจก่อน ต่อด้วยการปรับตัวและศึกษาวิธีการเล่นที่จะทำให้เขากลายเป็น ‘No.9’ ตัวจริงของสลอตให้ได้
ถ้าสุดท้ายแล้วจะทำไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยขอให้ได้พยายามจนถึงที่สุด ทุกคนก็พร้อมที่จะเข้าใจเสมอ
ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่
และไม่ใช่ไม่ได้แปลว่าไม่รัก – จริงไหมเดอะ ค็อป
อ้างอิง: