วันนี้ (22 มิถุนายน) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตัวแทนจากหน่วยสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security) ร่วมแถลงผลการจับกุม บริษัท ดารุมะ ซูชิ จำกัด โดย เมธา ชลิงสุข ในฐานะผู้ดำเนินการแทนนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1266/2565 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2565 และ เมธา ชลิงสุข อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1267/2565 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2565 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนพร้อมของกลางเงินสด 20,186 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 710,000 บาท โดยจับกุมได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
พล.ต.ท. จิรภพเปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2559 บริษัท ดารุมะ ซูชิ จำกัด ได้มีการจดทะเบียนบริษัทเพื่อประกอบกิจการร้านอาหาร เครื่องดื่ม โดยมีเมธาเป็นกรรมการผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
ต่อมาบริษัทได้ทำการประกาศขายคูปองบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นทางเพจเฟซบุ๊กให้กับประชาชนในราคา 199 บาท จนผู้เสียหายที่มีความสนใจซื้อคูปองดังกล่าวจำนวนมาก
นอกจากนี้ ทางบริษัทได้เปิดให้มีการซื้อแฟรนไชส์ จนปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 27 สาขา ทั้งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ต่อมาวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ร้านดารุมะ ซูชิ ได้ปิดกิจการทุกสาขา รวมถึงประชาชนไม่สามารถติดต่อทางบริษัทและเมธาได้ จนเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก ผู้เสียหายจึงได้มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (กก.1 บก.ปคบ.) ซึ่งพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาต่อศาลอาญา กระทั่งวันนี้ (22 มิถุนายน) เวลาประมาณ 11.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบทราบว่าผู้ต้องหาจะเดินทางกลับมาที่ประเทศไทยผ่านทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงนำกำลังติดตามจับกุมได้
พล.ต.ท. จิรภพกล่าวอีกว่า จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ให้การว่าการเงินขาดสภาพคล่อง เนื่องจากสถานการณ์โควิดจึงทำการออกคูปองบุฟเฟต์ราคา 199 บาทเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพราะมีปัญหาการเงินอย่างหนัก เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในระบบ แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ประกอบกับถูกทวงหนี้จำนวนกว่า 100 ล้านบาทอย่างหนัก จึงหลบหนีไปตั้งหลักที่สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีการเปลี่ยนเครื่องที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ภายหลังได้รับชมข่าว ประกอบกับถูกกดดันอย่างหนัก จึงเดินทางกลับมายังประเทศไทยโดยเปลี่ยนเครื่องที่ไต้หวัน ซึ่งทางตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การ โดยเบื้องต้นได้นำตัวส่งนำส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปคบ. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งในชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนไม่ให้ประกันตัว และจะคัดค้านการประกันตัวในขั้นศาล โดยจะทำการฝากขังในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ (23 มิถุนายน)
พล.ต.ท. จิรภพกล่าวอีกว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถอายัดเงินได้หลักแสนบาท และสามารถตรวจยึดเงินสดได้ประมาณ 710,000 บาท โดยหลังจากนี้ ทางตำรวจจะทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลในเรื่องเส้นทางการเงินว่ามีการยักย้ายถ่ายเทไปที่บุคคลอื่นหรือไม่ หากพบว่ามีเส้นทางการเงินไปถึงบุคคลใด ก็จะเข้าข่ายกระทำความผิดฐานฟอกเงิน รวมถึงขยายผลในเรื่องผู้ร่วมขบวนการ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทราบว่ายังมีผู้ก่อเหตุคือนายเมธาเพียงคนเดียว
พล.ต.ท. จิรภพกล่าวอีกว่า ล่าสุด มีผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความ ด้วยตนเองมากกว่า 100 คน และแจ้งความทางออนไลน์มากกว่า 300 คน แต่จากการตรวจสอบพบว่ามีผู้เสียหายหลายพันคน มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ ได้มีการรายงานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อให้ผู้เสียหายสามารถเข้าแจ้งความได้ทั้งที่ บก.ปคบ. และสถานีตำรวจในท้องที่
รายงานข่าวแจ้งว่า แนวทางการสืบสวนพบว่าผู้ต้องหามีปัญหาหนี้สินจากการประกอบธุรกิจ และไม่สามารถหาเงินไปชำระค่าวัตถุดิบ ทำให้ผู้ผลิตสินค้าและนำมาจำหน่ายให้กับบริษัทไม่ส่งของเข้ามา จนเป็นเหตุให้ร้านไม่สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้