×

ถอดรหัสความสำเร็จของ ‘แดร์ เจนนิงส์’ ผู้เรียนไม่จบ เตะฝุ่นนับสิบปี ก่อนกลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจระดับโลก

27.06.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 MINS READ
  • “ผมเป็นคนประเภทที่พอคือพอ มนุษย์ทุกคนมีความต่าง ผมเก่งด้านออกไอเดียสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่ไม่เก่งเรื่องการบริหารธุรกิจ ทำได้แต่ไม่ชอบ ถ้าคุณมีแค่ไอเดีย มันไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จ แต่คุณต้องลงมือทำให้มันเวิร์ก”
  • “ผมถูกหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมสมัยนั้นและการประท้วงเรียกร้องสิทธิต่างๆ แต่สิ่งสำคัญคือ ‘คุณต้องทำให้ธุรกิจอยู่รอด’ ธุรกิจมันต้องผสมระหว่างความคิดสร้างสรรค์และการบริหารที่เฉียบคม ผมรู้จักหลายคนที่ครีเอทีฟมาก แต่ก็ล้มละลาย มันบอกอะไรผมได้หลายอย่าง”

ลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้าคุณอายุ 60 กว่า ตอนนั้นคุณจะทำอะไรอยู่ จะอยู่บ้านเล่นกับลูกหลาน แพ็กกระเป๋าเดินทางทั่วโลก หรือยังคงง่วนอยู่กับงานที่ทำอย่างมีความสุข สำหรับ แดร์ เจนนิงส์ ผู้ก่อตั้ง Deus Ex Machina แล้ว คำตอบที่ได้น่าจะถูกหมดทุกข้อ


วันนี้เราเดินทางมาพบแดร์ก่อนเวลาเริ่มงาน Deus Ex Machina & Moto Guzzi Present Lorm Pha Film & Art Night ณ
Acmen เอกมัย ชายวัย 68 ปีคนนี้ยังคงดูกระฉับกระเฉง ใส่เชิ้ตขาว แว่นกรอบดำ กางเกงชิโน กับรองเท้าบู๊ต เรียบง่ายดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นเจ้าของแบรนด์ที่เฟี้ยวฟ้าวได้ขนาดนั้น นี่จึงเป็นบทเรียนแรกของวัน ‘จงอย่าตัดสินใครจากภายนอก’  

 

แดร์เล่าให้ฟังว่าเขาบินตรงมาจากเซี่ยงไฮ้ ชื่นชมว่าเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองใหญ่ที่มีความทันสมัย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังชอบกรุงเทพฯ และบินมาบ่อยครั้งถึงขั้นวางแผนที่จะเปิดแฟลกชิปสโตร์ที่นี่เป็นประเทศที่ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย

 

และหากคุณไล่อ่านประวัติของแดร์ คุณจะพบว่าเขาแทบไม่มีคุณสมบัติใดที่ทำให้ชาวออสซี่ผู้นี้ประสบความสำเร็จได้เลย เขาเติบโตในฟาร์ม เลิกเรียนกลางคัน ว่างงานอยู่เป็นสิบๆ ปี แต่เมื่อหยิบจับงานแรกอย่างการสร้างแบรนด์ ‘Mambo’ ชื่อของแดร์ เจนนิงส์ ก็กลายเป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างในฐานะผู้ก่อตั้งแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่มีต้นกำเนิดจากกีฬาเซิร์ฟบอร์ด แน่นอนว่าธุรกิจนี้ทำเงินให้เขามหาศาล แต่นั่นยังไม่เท่า Deus Ex Machina คัลเจอร์แบรนด์ของผู้ที่หลงใหลเซิร์ฟบอร์ด มอเตอร์ไซค์ แฟชั่น และไลฟ์สไตล์ซิ่งซ่า  

 

 

ผมเป็น Big Kid ที่ไม่ยอมโต

“ผมเกิดช่วงปลายยุค 60s-70’s ชีวิตตอนนั้นเต็มไปด้วยดนตรีร็อกแอนด์โรล เซ็กซ์ ยาเสพติด สงครามเวียดนาม การเมือง เรากำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนถ่าย ไม่ได้มีแค่เรื่องแฟชั่น แต่พลังของคนยุคนั้นกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าสังคมไปตลอดกาล ผมโตมากับสิ่งเหล่านี้” นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ที่เขาก่อตั้งขึ้นจึงให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตมากกว่าการผลิตสินค้าให้ออกขายได้คราวละมากๆ  

 

“ผมเข้ามหาวิทยาลัย แต่ก็เลิกเรียนกลางคัน ไม่มีงานจริงจังทำ มีแต่รับจ้างชั่วคราว เงินเดือนก้อนแรกที่ได้ก็มาจากพ่อ เพราะพ่อเป็นคนทำไร่ วันๆ ผมเลยได้แต่ขับรถบรรทุกวนรอบฟาร์ม มันเป็นงานที่น่าเบื่อมาก จนวันหนึ่งผมบอกตัวเองว่าถึงเวลาหางานทำแล้ว แต่รู้ตัวว่าไม่สามารถทำงานให้คนอื่นได้ ถ้าผมจะทำงาน ผมจะทำอะไรสักอย่างที่เป็นของตัวเอง งานแรกของผมคือแบรนด์ Mambo เป็นแบรนด์เสื้อผ้าและไลฟ์สไตล์ ซึ่งประสบความสำเร็จขายดีไปทั่วโลก ผมว่าในเมืองไทยก็น่าจะมีวางขายด้วย”

 

แต่กลับกลายเป็นว่าแดร์ตัดสินใจขาย Mambo ให้ผู้ลงทุนรายอื่น  

 

“ผมเป็นคนประเภทที่พอคือพอ มนุษย์ทุกคนมีความต่าง ผมเก่งด้านออกไอเดียสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่ไม่เก่งเรื่องการบริหารธุรกิจ ทำได้แต่ไม่ชอบ เมื่อ Mambo เดินทางมาถึงจุดที่โตเต็มที่ ผมอยากเริ่มสิ่งใหม่ อยากดูว่าไอเดียของเราจะเป็นจริงได้ไหม ถ้าคุณมีแค่ไอเดีย มันไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จ แต่คุณต้องลงมือทำให้มันเวิร์ก” นั่นจึงเป็นที่มาของ Deus Ex Machina ผลผลิตจากไอเดียที่ตกผลึกของนักสร้างสรรค์

 

สนุกได้ แต่คุณต้องทำให้ธุรกิจอยู่รอด

แม้ไม่ได้เรียนจบด้านบริหารธุรกิจ แต่สิ่งที่แดร์มีคือประสบการณ์ “แน่นอน ผมไม่สามารถบอกได้หมดว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จ (หัวเราะ) บอกได้แค่ว่าจงอยู่กับสิ่งที่ตัวคุณเองชอบและสนุกกับมัน จุดเริ่มต้นของ Deus ง่ายกว่า Mambo ตอนนั้นผมไม่มีเงิน ไม่เหมือนตอนสร้าง Deus ไอเดียของผมคือผมชอบเซิร์ฟบอร์ด และผมก็คิดว่ามอเตอร์ไซค์นั้นเท่ดี จะเป็นอย่างไรถ้าเอาทั้งสองอย่างมารวมกัน ไม่มีใครเชื่อว่าสองสิ่งนี้จะอยู่ด้วยกันได้ มันก็เจ๋งดีเวลาคนอื่นบอกว่าคุณกำลังคิดผิด แต่คุณได้พิสูจน์แล้วว่า นี่ไงล่ะสิ่งที่คุณเคยเตือนผม”  

สไตล์การทำงานของแดร์ไม่ได้ยึดหลักตำราเล่มใด ใช้แต่สัญชาตญาณ

 

“อย่างที่บอกว่าผมถูกหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมสมัยนั้น และการประท้วงเรียกร้องสิทธิต่างๆ นั่นก็อย่างหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือ ‘คุณต้องทำให้ธุรกิจอยู่รอด’ ผมทำเสื้อผ้าขายเพราะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ไม่สิ เวิร์กที่สุด เพราะส่วนต่างค่อนข้างดี ธุรกิจมันต้องผสมระหว่างความคิดสร้างสรรค์และการบริหารที่เฉียบคม ผมรู้จักหลายคนที่ครีเอทีฟมาก แต่ก็ล้มละลาย มันบอกอะไรผมได้หลายอย่าง”  

 

Deus สาขาฮาราจูกุ ภายมีคาเฟ่ บาร์ แกลเลอรี และพื้นที่สำหรับเวิร์กช็อป
Photo: Deus Ex Machina

 

Deus ที่บาหลี เป็นแหล่งแฮงเอาต์สุดเก๋ที่ทุกคนต้องไปเยือน
Photo: Deus Ex Machina

 

ไม่จำเป็นต้องเลิกเรียน แต่จงค้นหาทางเดินของตัวเอง

เรารู้ว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนที่เชื่อมั่นในระบบการศึกษา เพราะเขาเองก็เรียนไม่จบ แต่การศึกษายุคนี้ไม่เหมือนสมัยนั้น อยากรู้ว่าเขาจะฝากอะไรถึงเด็กที่ยังเรียนไม่จบบ้าง

 

“ไม่มี (หัวเราะ) คนเรามีหลายแบบ สิ่งที่ทำก็ไม่เหมือนกัน ผมบอกได้แค่ว่าคุณต้องทำตามใจตัวเอง ลองค้นหาว่าแบบไหนที่เวิร์กสำหรับคุณ ผมว่าตัวเองโชคดีที่ก่อตั้งแบรนด์ถูกจังหวะ มันมีประโยคหนึ่งที่นักธุรกิจดังชาวอเมริกันกล่าวไว้ทำนองว่า “I’m very lucky I was born at the time where reading financial statement of businesses was making a lot of money.” (ผมโชคดีมากที่เกิดมาในยุคที่การอ่านงบการเงินของธุรกิจทำเงินได้มหาศาล)

 

แดร์กับ Moto Guzzi V7 III Carbon Shine Limited Edition

 

ความพิเศษของแบรนด์มอเตอร์ไซค์คลาสสิกระดับตำนานของอิตาลีคือความประณีตในการผลิตที่กินขาดค่ายอื่น

 

หลังจากเวลาล่วงเลย สถานที่จัดงานใกล้เสร็จเต็มที เราเห็นจอหนังขนาดใหญ่ขึงกางบดบังตึก 2 ชั้น มอเตอร์ไซค์คันใหญ่เริ่มทยอยเข้ามาจับจองพื้นที่ อีกมุมเป็นงานแสดงศิลปะของศิลปินอัลเทอร์เนทีฟ พอล แม็กนีล ถัดไปเป็นบูธดีเจ ยาดอง ปลาหมึกบด ข้าวเกรียบว่าว กาแฟ ฯลฯ ภาพที่เห็นคือการรวมตัวของสิ่งที่ไม่น่าจะเข้ากันได้เลย แต่ทุกอย่างกลับลงตัวเพอร์เฟกต์ราวกับว่าไอเดียของเขาไม่ได้โรยราตามอายุขัย  

 

“เราไม่ได้เป็นแบรนด์มอเตอร์ไซค์ ไม่ได้เป็นแบรนด์เซิร์ฟบอร์ด หรือแบรนด์เสื้อผ้า แต่เรานำรายละเอียดของสิ่งเหล่านั้นมาหลอมเป็นหนึ่งเดียว มันเลยทำให้แบรนด์ไม่ย่ำอยู่กับที่ รวมถึงปล่อยให้คนรุ่นใหม่ในออฟฟิศทำหน้าที่ของตัวเอง ผมแค่เฝ้ามองภาพรวม ผมไม่ได้เป็นคนรวยที่สุด แต่ผมอยากทำให้ออกมาให้ดีที่สุด มีคุณภาพมากที่สุด และมีความออริจินัลถึงขีดสุด”

 

PHOTO:  ภิญโญ อยู่ป้อม, Courtesy of Deus Ex Machina

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X