ดาหลา บุปผา ฆาตกรรม เปิดตัวได้อย่างน่าสนใจในฐานะซีรีส์ไทยเรื่องแรกของปีจาก Netflix ด้วยเนื้อหาว่าด้วยการฆาตกรรมเชื่อมโยงกับดอกไม้ โดยได้นักแสดงดังอย่าง ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ มารับบทนักจัดดอกไม้ผู้ลึกลับ และทีมเขียนบทเบื้องหลังซีรีส์ดังอย่าง เด็กใหม่ และ เลือดข้นคนจาง ผลงานการสร้างสรรค์โดย ปราบดา หยุ่น ก็ชวนให้คิดว่าเนื้อหาในซีรีส์จะต้องมีความสลับซับซ้อนไม่แพ้กลีบดอกดาหลา ทว่ามันกลับไร้กลิ่นชวนประทับใจ
ดาหลา บุปผา ฆาตกรรม มีจุดเริ่มต้นในช่วงการเตรียมงานแต่งงานระหว่าง โอม-อนุสรณ์ เอื้อเทพา (ณ-ณภัทร วิกัยรุ่งโรจน์) ว่าที่นายกรัฐมนตรีของไทยจากตระกูลผู้ดีเก่า กับ ริสา-นริสสา ตั้งสินทรัพย์ (แพต-ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช) สาวสังคมจากตระกูลเศรษฐีใหม่ ทั้งคู่ดูเป็นคู่รักสมบูรณ์แบบ และงานแต่งงานก็น่าจะกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ โดยได้ ดาหลา โรส (ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์) นักจัดดอกไม้ฝีมือดีมาช่วยรังสรรค์งานให้สวยสมใจ
แต่แล้วก็เกิดปัญหาบางอย่างทำให้ญาติทั้งสองฝ่ายต้องไปเยือนสตูดิโอจัดดอกไม้ของดาหลา กระทั่งวันรุ่งขึ้นก็มีคนพบศพของโอมที่นั่น กลายเป็นว่าแทบทุกคนคือผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ นำไปสู่การสืบเสาะค้นหาฆาตกรตัวจริง พร้อมทั้งเปิดโปงความฟอนเฟะของสองตระกูลใหญ่ เปรียบเปรยไปกับปรัชญาการจัดดอกไม้ และปริศนาที่ยิ่งใหญ่กว่าคือตัวตนที่แท้จริงของ ‘ดาหลา’ ผู้เป็นมากกว่านักจัดดอกไม้
ความน่าสนใจตั้งแต่ปล่อยภาพแรกออกมาคือความลึกลับ น่าค้นหา ญาญ่าเหมือนจะเป็นแกนกลาง พาให้นึกถึงภาพยนตร์จากค่ายเดียวกันอย่าง Enola Holmes และ ‘ดาหลา’ อาจจะกลายเป็นตัวละครที่มาอีกหลายซีซัน ขณะเดียวกันทีมนักแสดงสมทบก็มีทั้งรุ่นเก่าใหม่มีกลิ่นอายความดราม่าอารมณ์เดียวกับสืบสันดาน แต่ในที่สุดก็เอียงไปทางฝั่งหลังมากกว่าในแง่ความเป็นละครไทย
สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาคืองานกำกับศิลป์ องค์ประกอบ และงานด้านภาพ ตั้งแต่ Opening Sence ในแต่ละอีพีที่ทำออกมาได้สวยทีเดียว จนมาถึงการให้แสงในแต่ละฉากช่วยสื่อสารตัวตนและครอบครัวของตัวละคร ทั้งแสงเงาที่ทาบตัวดาหลา บรรยากาศในบ้านของสองครอบครัวที่ไม่มีความอบอุ่นเอาเสียเลย รวมถึง ‘เหยื่อ’ ที่เหมือนอยู่ในแสงสลัวของสังคมตลอดเวลา
ส่วนเนื้อหามีเรื่องราวของการเมืองพอเป็นกระษัย ไม่มากก็น้อยคาแรกเตอร์ของโอมเหมือนจะได้แรงบันดาลใจมาจากนักการเมืองรุ่นใหม่ขวัญใจประชาชนอยู่ช่วงหนึ่ง รวมทั้งการนำประเด็นที่เป็นข่าวมาเล่นคือการล่วงละเมิดทางเพศโดยนักการเมืองที่มีหน้ามีตาในสังคม (รวมทั้งประโยคที่ว่า “ฉันไม่ได้ทำงานราชการนี่คะ ถึงได้ไปดูงานด้วยภาษีประชาชน” ที่ดันเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน) หรือการเวนคืนที่ดินของทุนใหญ่แล้วทำลายวิถีชีวิตของชุมชนเก่า
อย่างไรก็ตามประเด็นหลักของซีรีส์พูดถึงผู้หญิงในโลกชายเป็นใหญ่ อาจจะเพราะทีมงานหลักเป็นผู้หญิงถึง 4 คน คือสองผู้กำกับ ฐานิกา เจนเจษฎา และ เอลิซ่า เปียง และสองมือเขียนบท ฤทัยวรรณ วงศ์สิรสวัสดิ์ และ อาทิชา ตันธนวิกรัย ถึงอย่างนั้นดอกไม้ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์แทนผู้หญิง แต่ใช้ศาสตร์การจัดวางเปรียบเทียบการวางเกมและการวิเคราะห์ผู้คน
โดยภาพรวมเรียกได้ว่าเป็นคอนเซปต์ที่ดี แต่กลับมีปัญหาด้านการเล่าเรื่อง อาจจะเพราะอยากสอดแทรกปรัชญาการจัดดอกไม้เข้าไป กลายเป็นว่าบทสนทนาต่างๆ เหมือนถูกจัดวางจนขาดความเป็นธรรมชาติ หลายๆ ครั้งนักแสดงเหมือนท่องมากกว่าพูด และบางจังหวะก็ดูแปลกประหลาดเหมือนละครไทยยุคเก่าๆ
.
สิ่งนี้ยังลามไปถึงคาแรกเตอร์ของตัวละครหลักอย่างดาหลา ซึ่งเราก็ได้เห็นความพยายามแสดงน้อยแต่มากของญาญ่า ทว่าบางจังหวะกลับดูแข็งไม่ลงตัว และมีเงาบางๆ ระหว่างตัวละคร แนนโน๊ะ และ มุนดงอึน จาก The Glory ทาบทับอยู่
นอกจากนี้ความขัดแย้งหลายๆ บ้านตั้งสินทรัพย์ก็ชวนให้นึกถึง เลือดข้นคนจาง ส่วนหนึ่งก็มาจากอิทธิพลงานชิ้นเก่าๆ ของมือเขียนบท
ส่วนพาร์ตการสืบสวน ดาหลา บุปผา ฆาตกรรม ทำออกมาค่อนข้างน่าติดตามด้วยการโรย Easter Eggs ระหว่างทางตลอดทั้งเรื่อง แต่โดยรวมก็พอจะเดาได้ว่าสุดท้ายจะจบลงอย่างไร โดยเฉพาะที่มาที่ไปของดาหลาที่เข้าอีหรอบทรายมาทวงทุกอย่างของทรายคืน (ทรายสีเพลิง) แต่ดาหลากลับมาทวงศักดิ์ศรีของใครบางคนแทน
เพราะการซ้อนทับกันทั้งคอนเซปต์ ประเด็นหลัก และตัวละครที่หลากหลาย ทำให้การเฉลี่ยน้ำหนักของเรื่องยังไม่ลงตัว แม้แต่ปรัชญาการจัดดอกไม้ที่ยัดใส่ในบทสนทนาของนักแสดงดูพยายามคมคายแต่ไม่ทัชใจคนดู รวมทั้งการมีอยู่ของตัวละครบางตัวก็ทำให้เกิดคำถามว่ามีอยู่ทำไมตลอดเรื่อง จนมาขมวดตอนท้ายที่เหมือนตั้งใจให้คนดูมองข้ามตัวละครตัวนี้ไปโดยแทบไม่ใส่รายละเอียดอะไรไว้เลย จะบอกว่าเซอร์ไพรส์ก็ใช่ แต่ไม่ว้าวเลย