การก้าวขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของวงการดนตรีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การยืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดนั้นด้วยเกียรติภูมิ ฝีไม้ลายมือที่ปราศจากข้อกังขา มิใช่อาศัยเพียงชื่อเสียงซึ่งได้มาเพราะโชคช่วย ใบหน้าที่หวานสวยแต่ปราศจากมันสมอง หรือการเป็นวงดนตรีซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ไม่มีแม้แต่โอกาสได้จับไมค์ร้อง เพราะต้องอยู่ภายใต้เงาของ (คนที่ดูเหมือนจะเป็น) ผู้นำ
แต่สำหรับ Tionne “T-Boz” Watkins, Lisa “Lefteye” Lopes และ Rozonda “Chilli” Thomas พวกเขาได้รวมตัวกันเป็นวงดนตรีที่ชื่อว่า TLC ก้าวผ่านด่านกลุ่มผู้ฟังอันจำกัด ข้ามมามัดใจแฟนเพลงได้แทบจะครึ่งค่อนโลก และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังของสตรีเพศ เป็นแรงบันดาลใจ รวมทั้งโรลโมเดลสำหรับอีกนับสิบนับร้อยวงดนตรีรุ่นใหม่จวบจนปัจจุบัน
การเริ่มต้นของอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ทางดนตรี
ช่วงเวลากว่า 20 ปีในวงการ กับ 4 รางวัล Grammy Awards, 5 รางวัล MTV Video Music Awards และ 5 รางวัล Soul Train Music Awards เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่การันตีคุณภาพระดับ ‘ตำนาน’ ของ TLC ได้เป็นอย่างดี จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ด้วยการก่อตั้งวงเมื่อปี 1990 ณ เมืองแอตแลนตา มีสมาชิกเริ่มต้นคือ T-Boz และ Lefteye (ผู้ซึ่งในขณะนั้นเพิ่งย้ายมาหางานทำเอาดาบหน้าจากเมืองฟิลาเดลเฟีย ด้วยเงินประทังชีวิตเพียง 750 ดอลลาร์สหรัฐ และคีย์บอร์ด 1 ตัว!) ก่อนที่จะสมทบด้วยสมาชิกคนสุดท้ายอย่าง Chilli พ่วงกับทีมโปรดิวเซอร์แน่นคุณภาพในขณะนั้นอย่าง Jermaine Dupri, Dallas Austin และเจ้าพ่อเพลงอาร์แอนด์บีปลายปากกาหวานปานน้ำเชื่อมอย่าง Kenneth “Babyface” Edmonds ทำให้อัลบั้มแรกของทางวง Ooooooohhh… On the TLC Tip ซึ่งวางจำหน่ายกับต้นสังกัด Arista Records ในปี 1992 ขายได้มากกว่า 4 ล้านแผ่นในสหรัฐอเมริกา
จากภาพลักษณ์ที่ทางต้นสังกัดวางหมากเอาไว้ในแนวทอมบอยเมื่อครั้งอัลบั้มแรก TLC กลับมาพร้อมความเติบโตและแตกต่างในอัลบั้มชุดที่ 2 CrazySexyCool ซึ่งวางขายในช่วงปลายปี 1994 โดยที่ไม่มีใครคาดหวังว่าอัลบั้มนี้จะกลายเป็นหน้าประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของวงการเพลง นอกเหนือจากคำวิจารณ์ในแง่บวกรัวๆ จากทั่วทุกสถาบันบันเทิง ด้วยการผสมผสานกันอย่างกลมกล่อมของความเป็นอาร์แอนด์บีร่วมสมัย โมเดิร์นฮิปฮอป และฟังก์ป๊อป ชื่อของ TLC และ อัลบั้ม CrazySexyCool ได้ถูกตราผนึกไว้ในกินเนสส์บุ๊กในฐานะ ‘อัลบั้มจากกลุ่มศิลปินหญิงซึ่งมียอดจำหน่ายสูงที่สุดตลอดกาล’ ในสหรัฐอเมริกา ด้วยตัวเลขกว่า 11 ล้านชุด ทุกคนจึงค่อนข้างมั่นใจว่าคงไม่มีวงดนตรีไหนจะมาทำลายสถิตินี้ไปอีกนาน
โบราณว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก แต่ TLC เลือกที่จะพัก ด้วยการคั่นเวลาออกอัลบั้มโดยเฉลี่ย 2-4 ปี น่าแปลกที่สมาชิกแต่ละคนไม่ได้ติดภาพลักษณ์ที่หรูหราฟุ่มเฟือย แต่เลือกที่จะอยู่อย่าง low-profile เรื่อยๆ เสียมากกว่า โดย Chilli และ T-Boz เลือกที่จะไปแต่งงานมีลูก มีสามี ส่วน Lefteye ก็ได้เปิดบริษัทสังกัดเพลงของตนเอง
แต่ยิ่งหายไปนาน ความต้องการของแฟนเพลงก็ยิ่งทวีมากขึ้น และหลังจากได้รับคำขอร้องจากผู้ฟังว่าให้รีบๆ ออกอัลบั้มใหม่เสียที TLC จึงกลับมาพร้อมผลงานอัลบั้ม Fanmail ซึ่งออกวางจำหน่ายในปี 1999 พร้อมกับ 2 ซิงเกิลฮิตอย่าง No Scrubs และ Unpretty ที่ขึ้นไปติดอยู่ในอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard HOT 100 รวมทั้งอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น จนกลายเป็นกลุ่มศิลปินหญิงจากต่างประเทศรายเดียวที่มียอดขายเกิน 1 ล้านแผ่นในดินแดนอาทิตย์อุทัย!)
มากกว่าแค่บทเพลง
สิ่งที่แฟนๆ เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างของ TLC ที่ทำให้ทางวงประสบความสำเร็จมากกว่าศิลปินกลุ่มอื่นๆ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งที่มีรูปแบบทางดนตรีหรือภาพลักษณ์ที่คล้ายๆ กัน อย่าง SWV, Total, Brownstone, Jade, 702 หรือแม้แต่วงที่เน้นเสียงร้องอย่าง Xscape และ En Vogue ได้แก่ ‘เคมี’ ของทั้ง T-Boz, Lefteye, และ Chilli ที่มีต่อกันและกัน
โดยทั้งสามคนสร้างอัตลักษณ์ทางตัวตนออกมาอย่างเสมอภาค เท่าเทียมกันภายในวง ไม่มีใครอยู่ภายใต้เงาของอีกคน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในวงการดนตรีที่มักจะมีนักร้องนำถูกกำหนดให้เด่นกว่าสมาชิกที่เหลือเพื่อการตลาดที่ง่ายขึ้น
ด้วยคาแรกเตอร์ของทางวงซึ่งตรงกับสิ่งที่วัยรุ่นในสังคมอเมริกาเทิดทูน ความ ‘cool’ ที่จับต้องได้ซึ่งถูกแสดงออกผ่านเสื้อผ้าหน้าผม การปรากฏตัวต่อสื่อ และท่าเต้นที่มีสไตล์ ความแยบยลคมคายของเนื้อหาเพลง ที่ไม่ได้มุ่งเน้นแต่เพียงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ทว่าสอดแทรกประเด็นปัญหาสังคม เช่น การค้ายาเสพติดหรือการรณรงค์ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ผ่านมิวสิกวิดีโอซึ่งมีการลงทุนถ่ายทำด้วยงบมากกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ของเพลง Waterfall (จากอัลบั้ม CrazySexyCool) ซึ่งทำให้ TLC กลายเป็นศิลปินผิวสีกลุ่มแรกในประวัติศาสตร์ที่ชนะรางวัล Video of the Year ในงาน MTV Video Music Awards ในปี 1995
ส่วนสาส์นจาก TLC ที่สะท้อนถึงปัญหาสังคมโดยเฉพาะผู้หญิงในวัยรุ่น ว่าด้วยความไม่มั่นใจในภาพลักษณ์ของตนเอง การไม่เคารพในสิ่งที่ตัวเองเป็น และการสอนให้หญิงสาวมุ่งเน้นความงามจากจิตใจมากกว่าปัจจัยที่เสริมเติมแต่งภายนอกนั้น ถูกเรียงร้อยผ่านเพลง Unpretty จากอัลบั้ม Fanmail ในปี 1999 ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ TLC ได้แสดงจุดยืนของการเป็นวงดนตรีที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ฟัง และเป็นการแสดงพลังของเพศหญิง อันเป็นสิ่งที่ทางวงพยายามจะสื่อผ่านบทเพลงมาตลอดนับตั้งแต่อัลบั้มแรก
การสูญเสีย
แม้การจากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะพักผ่อนอยู่ที่ประเทศฮอนดูรัสของ Lisa “Lefteye” Lopes ในเดือนเมษายน ปี 2002 จะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออนาคตของทางวง แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งนักวิจารณ์ แฟนเพลง รวมทั้งตัวสมาชิกที่เหลือในวงเองเห็นพ้องต้องกันว่าการเป็น TLC นั้นคือ T-Boz, Lefteye, Chilli และจะไม่มีใครสามารถมาแทนที่คนใดคนหนึ่งภายในวงได้เลย
ความเป็น TLC ถูกประกอบขึ้นด้วยเสียงร้องทุ้มต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ของ T-Boz ท่อนแรปดุเด็ดเผ็ดมันจากปลายปากกาของ Lefteye และสไตล์เส้นเสียงแนวเมซโซโซปราโนของ Chilli นั้นเป็นสิ่งที่ทีมงานโปรดิวเซอร์ในเวลาต่อมามักจะนำมาใช้อ้างอิงในการปั้นศิลปินหน้าใหม่ออกมาป้อนตลาด
กลุ่มศิลปินอาร์แอนด์บีหญิงอย่าง Destiny’s Child ก็ออกมายอมรับถึงอิทธิพลของ TLC ที่มีต่อทิศทางของวง (ถึงแม้ใครต่อใครมักจะพยายามยัดเยียดประเด็นความขัดแย้ง แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น ในวงการกันระหว่าง TLC กับ Destiny’s Child จนถึงขั้น MTV ได้นำไปสร้างมุกตลกล้อเลียนให้ทั้งสองวงฆ่ากันตายบนสังเวียนมวยปล้ำ ในรายการ Celebrity Deathmatch ก็ตาม) และแน่นอนในวันที่สมาชิกเหลือเพียง T-Boz และ Chilli แต่พื้นที่ของตัว L จะยังคงเป็นของ Lefteye โดยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
อัลบั้มสุดท้าย
ในวันที่ 30 มิถุนายน 2017 T-Boz และ Chilli จะนำความเป็น TLC กลับมาด้วยอัลบั้มใหม่ โดยใช้ชื่อเรียบง่ายว่า TLC และจะเป็นอัลบั้มสุดท้ายอย่างเป็นทางการของทางวง ซึ่งจะออกวางจำหน่ายเสมือนของขวัญแด่แฟนเพลงที่ให้การสนับสนุนมายาวนานกว่า 20 ปี ซึ่งอัลบั้มนี้เริ่มต้นจากการระดมทุนจากเว็บไซต์ Kickstarter โดยตอนท้ายแคมเปญทางวงระดมเงินทุนได้ 150,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อใช้ในการทำอัลบั้มนี้
ชื่อเสียง เกียรติภูมิ สถิติ และแรงบันดาลใจทั้งหลายที่ TLC ได้สร้างขึ้นในช่วงยุค 90s หรือต้นยุค 2000s นั้นอาจจะถูกลดทอนบทบาทในการเป็นที่พูดถึงในหมู่นักฟังเพลงสมัยใหม่ไปบ้าง แต่กับตำนานของการเป็น ‘วงดนตรีอาร์แอนด์บีหญิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์โลก’ นั้น จะเป็นข้อเท็จจริงที่ยังคงอยู่ไปตลอดกาล จนกว่าจะมีตำนานหน้าใหม่ถูกจารึกขึ้นมาตามธรรมชาติของวัฏจักรดนตรี
Photos: OfficialTLC/Facebook
อ้างอิง:
- www.billboard.com/articles/news/7841104/tlc-2017-new-album-90s-tour-date-interview
- www.capitalxtra.com/features/lists/tlc-facts
- consequenceofsound.net/2015/01/dusting-em-off-tlc-crazysexycool
- www.rollingstone.com/music/lists/100-best-albums-of-the-nineties-20110427/tlc-crazysexycool-20110517
- pitchfork.com/features/article/8827-tlc
- www.complex.com/music/2014/02/tlc-fanmail-15-year-anniversary
- theboombox.com/lisa-left-eye-lopes-tlc-burns-house
- www.rap-up.com/2013/06/24/tlc-receives-legend-award-performs-medley-at-mtv-video-music-awards-japan
- www.vh1.com/news/51790/behind-the-song-tlc-waterfalls
- จนถึงปัจจุบันอัลบั้ม CrazySexyCool ซึ่งออกวางจำหน่ายในปี 1994 นั้น ก็ยังคงเป็นอัลบั้มเดียวของศิลปินกลุ่มผู้หญิงในประวัติศาสตร์วงการดนตรีสหรัฐอเมริกาที่มียอดจำหน่ายเกินกว่า 10 ล้านแผ่น (โดย CrazySexyCool ได้สร้างสถิติอยู่ที่ 11 ล้านแผ่น เฉพาะในอเมริกา)
- TLC เคยตกอยู่ในสภาวะล้มละลายในปี 1995 ถึงแม้จะสร้างยอดขายอัลบั้มได้อย่างถล่มทลาย เนื่องจากการบริหารการเงินที่ผิดพลาด จนนำมาสู่การร่างสัญญากับบริษัทแผ่นเสียงขึ้นใหม่ในที่สุด
- Lisa “Lefteye” Lopes เคยตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งของทุกสำนักพิมพ์อยู่นานหลายสัปดาห์ เนื่องจากตกเป็นจำเลยในการเผาบ้านแฟนหนุ่มนักอเมริกันฟุตบอล นามว่า Andre Rison ซึ่งคบหากันอยู่ในขณะนั้น
- มิวสิกวิดีโอเพลง Unpretty จากอัลบั้ม Fanmail เป็นมิวสิกวิดีโอจากศิลปินกลุ่มผู้หญิงที่ใช้ต้นทุนสร้างสูงที่สุดในโลก โดยเป็นเงินกว่า 1.6 ล้านเหรียญสหรัฐ
- TLC มียอดจำหน่ายอัลบั้มรวมกว่า 65 ล้านชุดทั่วโลก ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับสองของศิลปินกลุ่มผู้หญิงที่มียอดขายมากที่สุดในโลกตลอดกาล โดยเป็นรองเพียง Spice Girls เท่านั้น