ชื่อของ รุจ-ศุภรุจ เตชะตานนท์ ทำให้เราแปลกใจอยู่เสมอ ตั้งแต่ครั้งแรกในรายการ เดอะ สตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 4 กับภาพผู้ชายหน้าหวานที่พยายามเหลือเกินเพื่อจะร้องเพลงร็อก ความแปลกใจอีกครั้งคือทั้งๆ ที่แจ้งเกิดในวงการบันเทิงได้สำเร็จแล้ว หน้าตาของรุจก็ออกจะหล่อเหลา แต่เขาไม่เคยคิดที่จะจับงานแสดงเหมือนคนอื่นๆ แถมยังปฏิเสธหัวชนฝามาตลอดชีวิต
ล่าสุดเขาทำให้เราแปลกใจกับบทบาทบล็อกเกอร์รีวิวท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในพันทิป และกลายมาเป็นนักเขียนที่มีหนังสือออกมาแล้วถึง 3 เล่ม แต่อะไรก็ไม่น่าตกใจเท่าแบ็กกราวด์ของเขาที่เคยเป็นเด็กเก็บตัวและใช้ชีวิตด้วยการเล่นเกมมาตลอด แต่เลือกเปลี่ยนตัวเองมาเป็นหนุ่มสายลุยที่พร้อมจะเก็บกระเป๋า สะพายกล้อง เพื่อออกไปผจญภัยในดินแดนอาทิตย์อุทัยอยู่ทุกเวลา
จุดเริ่มต้นของเด็กติดเกม
ผมมีพี่ชาย 2 คนที่อายุห่างกัน 10 ปี ตอนเด็กๆ พ่อจะไล่ให้ผมรีบนอน ส่วนพี่ๆ จะแอบยกเครื่องเกมไปเล่นต่อได้ กลายเป็นความกดดันว่าเราอยากเล่นบ้าง แต่ทำไมเราไม่ได้เล่น จนช่วงประถมเริ่มเล่นเกม Sim City ให้พี่ชายสอน โชคดีว่าเป็นเกมที่มีประโยชน์ รูปแบบเกมคือเอางบประมาณมาสร้างเมือง แล้วพ่อผมทำธุรกิจก่อสร้างเหมือนกัน เลยยอมให้เล่น แล้วก็ขยับไปเล่นเกมวางแผนมากขึ้น
จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย (คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น) นั่นคือช่วงพีกของการเล่นเกม เพราะผมได้ย้ายไปอยู่หอกับเพื่อนๆ ช่วงนั้นเกม Ragnarok เซิร์ฟเวอร์ไทยเปิดพอดี เลยกลายเป็นความสุขที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ปกติเล่นอยู่ที่ห้องคนเดียว แต่คราวนี้ได้นั่งเล่นข้างๆ เพื่อนจริงๆ เรียนเสร็จทุกวันต้องไปถล่มร้านเกม นั่งเรียงกันเยอะๆ King of Kings, Dragon Raja, Counter-Strike, DotA, Pangya, Gunbound ฯลฯ เรียกว่าเกมออนไลน์ทุกเกมผมเล่นมาหมดแล้ว หนักสุดคือเกม Lineage ที่เล่นแบบบ้าคลั่งมาก ทั้งเล่นเอง ทั้งเปิดบอต พอเลิกเล่น จำได้ว่าขายตัวละครกับของในเกมได้เงินมา 80,000 บาทเลยนะ
ทุกวันนี้ก็ยังเล่นเกมอยู่ แต่เปลี่ยนมาเล่นในโทรศัพท์แทน ผมมีนิสัยอย่างหนึ่งคือถ้าเล่นเกมแล้วต้องเก่ง เมื่อก่อนยังไม่มีเงิน เลยต้องอาศัยใช้เวลาไปแลกกับความเก่ง แต่พอโตมาเรามีเวลาน้อยลง ก็ใช้วิธีเอาเวลาไปทำงาน หาเงิน แล้วเอามาซื้อความเก่งในเกม อย่างเกมที่เล่นตอนนี้คือ Lineage 2 Revolution นี่โดนไปเป็นแสนแล้วเหมือนกันนะ ถ้านับทั้งหมดที่เคยเล่นเกมมือถือมานี่ ดีไม่ดีจะถึงหลักห้าแสนแล้ว (หัวเราะ)
จากคนที่เกลียดการเดินทางไกล
เมื่อก่อนผมไม่เที่ยวเลย ตอนอยู่ขอนแก่น ทุกๆ ปิดเทอมต้องนั่งรถมาเยี่ยมยายที่กรุงเทพฯ เกลียดการเดินทางไกลๆ เวลาย้ายที่แล้วไม่รู้สึกว่าเป็นบ้านของเรา มันจะนอนไม่หลับ ถ่ายไม่ออก จนเรียนมหาวิทยาลัย 4 ปี ตอนนั้นเล่นเกมอย่างเดียว แทบไม่เคยออกไปเที่ยวไหนเลย
พอทำงานกับ เดอะ สตาร์ ได้ไปหลายจังหวัด แต่เป็นการทำงานแบบไปแล้วกลับเลย น้อยมากที่จะได้ไปเที่ยว ช่วงพีกๆ ปีหนึ่งน่าจะมี 200 งาน ไปแทบทุกจังหวัด แต่ไม่ได้รู้เลยว่าจังหวัดนี้มีของดีอะไร หรือที่ไหนน่าเที่ยว ไม่เคยสนุกกับการเดินทางเลย
อีกเหตุผลคือผมกลัว เพราะถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนู อยู่แต่ในบ้านตลอด ไม่กล้าทำอะไร ซื้อข้าวกินเองยังไม่กล้าเลย เพราะกลัวแม่ค้าด่า (หัวเราะ) แล้วข้อสุดท้ายคือผมงก คิดว่าจะไปทำไมวะ เปลืองเงินเปล่าๆ ไม่เห็นความคุ้มค่าของการไปเที่ยว สวยก็สวยสิ กลับมาเดี๋ยวก็ลืมหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้เคยมีงานที่ต้องไปญี่ปุ่น แต่คือการทำงาน ก็ไปทำตามที่เขาบอก เลยไม่สนุกอีก ไปถ่ายมิวสิกวิดีโอที่สิงคโปร์ เห็นเมอร์ไลออนแล้วยังไงเหรอ กลับไปดูเด็กยืนฉี่ที่บ้านก็เหมือนกัน (หัวเราะ) ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ นะ เหมือนอยู่ในกะลาเลย
สู่ชายหนุ่มผู้ต้องมนต์สะกดของแดนพระอาทิตย์
4 ปีที่แล้ว รายการ ฮัลโหลวันหยุด ติดต่อมาให้เป็นพิธีกรไปสัมภาษณ์พี่เบิร์ด (ธงไชย แมคอินไตย์) ที่ซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น พอเป็นพิธีกร เราก็ต้องไปเที่ยวก่อนถ่ายทำ ไปเรียนรู้ก่อนว่าบ้านเมืองเขาเป็นยังไง คราวนี้เริ่มเห็นอะไรมากขึ้น อย่างแรกคือระเบียบวินัย เพราะผมถูกเลี้ยงมาอย่างมีระเบียบวินัยมาก พอเห็นอะไรบางอย่างในประเทศเราบางทีจะหงุดหงิด แต่ไปญี่ปุ่นเจ๋งมาก รถยนต์ติดไฟแดงตอนกลางคืน ต่อให้ไม่มีคนก็รอจนไฟเขียว คนข้ามเห็นถนนโล่งๆ ก็ยืนตากหิมะอุณหภูมิ -7 องศาฯ รอจนกว่าจะไฟเขียว แล้วเราติดวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตลอด อ่านการ์ตูนญี่ปุ่น ดูหนังญี่ปุ่น ใช้รถญี่ปุ่น เหมือนทุกอย่างอยู่ในตัวมาตลอดอยู่แล้ว แต่ไม่เคยได้ไปสัมผัสมันจริงๆ เคยคิดเหมือนกันว่าโชคดีจริงๆ ที่ทริปนั้นเขาให้เราไปญี่ปุ่น เพราะถ้าเป็นที่อื่น ผมอาจจะไม่รู้สึกอินแล้วกลับไปเก็บตัวเงียบๆ เหมือนเดิม
ภาพถ่ายติดวิญญาณ สู่การอัพเกรดกล้องครั้งใหญ่
ตอนไปซัปโปโรผมมีแต่กล้องมือถือ ถ่ายรูปให้ใครดูก็ไม่มีคนชอบเลย ห่วยมาก แม่บอกว่าถ่ายวิญญาณอะไรมาเหรอ ทำไมมีแต่ดวงไฟมืดๆ (หัวเราะ) พอกลับมาผมก็เริ่มชอบญี่ปุ่น อยากไปอีก มีคนชวนไปทริปพอดี ผมรีบตอบตกลงเลยนะ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมีคนชวนเยอะ แต่ไม่เคยไป ก่อนเดินทาง 2 วันเลยรีบไปซื้อกล้องกับเลนส์มา หมดไปเกือบแสน เพราะคิดว่าควรมีกล้องดีๆ ไว้ถ่ายรูป สรุปว่าห่วยเหมือนเดิม เพราะตั้งค่าอะไรไม่เป็นเลย แต่พยายามถ่ายไปเรื่อยๆ คราวนี้เริ่มสนุกจริงๆ แล้ว เลยกลับมาซื้อหนังสือกล้องอ่านจริงจัง เข้ากูเกิล ยูทูบ หาข้อมูลทุกอย่างที่จะทำให้ถ่ายรูปสวยขึ้นได้ แล้วเริ่มมีลูกงอกออกมาเรื่อยๆ ขาตั้งกล้อง เลนส์ไวด์ เลนส์เทเล ฯลฯ ทุกอย่างครบหมด
มารู้ตอนนั้นนะว่าผมเป็นคนที่ถ้าชอบอะไรจริงๆ ผมจะฝึกสิ่งนั้นได้เร็วมาก เหมือนตอนเล่นเกมนั่นล่ะ (หัวเราะ) ฝึกอย่างบ้าคลั่งจนเริ่มถ่ายดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็เริ่มวางทริปแรกเอง คือไปดูใบไม้แดงที่โทโฮคุ จนเริ่มรู้สึกว่า เออ นอกจากสนุกแล้ว เราเองก็พอถ่ายภาพได้อยู่เหมือนกัน
จุดเปลี่ยนจากภาพ 1 ภาพ สู่กระทู้พันทิปแนะนำอันดับ 1 เป็นเวลา 1 เดือน
ผมไปเห็นรูปหมู่บ้านชิราคาวาโกะตอนไลต์อัพแล้วชอบมาก คิดเลยว่าด้วยสกิลและอุปกรณ์ตอนนี้ ถ้าได้ไปมันจะต้องสวยมาก เลยจัดเป็นทริป 4 วันไปกับเพื่อนอีก 3 คน เตรียมข้อมูลทุกอย่างอย่างดี แต่ทุกอย่างรวนไปหมด รถไฟเลต 5 ชั่วโมง เกือบเข้าที่พักไม่ทัน แต่พอไปถึงก็สนุกมาก ออกไปยืนรอถ่ายรูปกับอากาศ -2 องศาฯ แล้วต้องสู้กับนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมหาศาลที่เดินกันเต็มไปหมด ต้องรอนานมากกว่าจะถ่ายได้แต่ละรูป สุดท้ายออกมาเป็นอย่างที่ตั้งใจ ตอนนั้นคิดว่าได้รูปที่โอเคกลับมาแล้วก็เริ่มอยากแบ่งประสบการณ์ เริ่มเขียนรีวิวกระทู้ในพันทิป ตอนแรกไม่ได้บอกด้วยว่าผมเป็นคนเขียน มีคนเข้ามาดูประมาณหนึ่ง แต่พอคนรู้ก็มีคนเข้ามาอ่านเยอะมาก กลายเป็นกระทู้แนะนำอันดับ 1 อยู่เป็นเดือน มีคนมาคอมเมนต์ถามวิธีการเดินทาง ซึ่งเป็นเรื่องสนุกอีกหนึ่งอย่าง เพราะนอกจากจะได้โชว์รูปที่ไปถ่ายมาเองแล้ว ยังได้แนะนำคนอื่นที่อยากเดินทางไปเที่ยวแบบนั้นได้ด้วย
หลังจากนั้นก็กลายเป็นคนที่ชอบญี่ปุ่นมากๆ ว่างๆ ไม่ทำอะไร หาข้อมูล หารูปสวยๆ ที่ญี่ปุ่นตลอดเวลา ตอนหลังเริ่มหาเพื่อนที่ว่างตรงกันไม่ได้ เพราะเราทำอาชีพนักร้อง จะไปไหนก็สะดวกกว่าคนที่ทำงานประจำ จนรอไม่ไหว เลยตัดสินใจเริ่มเดินทางคนเดียว เพราะผมวางทริปเอาไว้วันที่ 1-12 เมษายน ช่วงนั้นทุกคนต้องรีบทำงานเพื่อจะได้หยุดยาว แล้วกลายเป็นติดการไปเที่ยวคนเดียว ไม่ถึงขนาดว่าต้องไปคนเดียวตลอด แต่มันสบายกว่าที่จะต้องมารอคิวให้ตรงกัน แล้วผมเป็นพวกบ้า บางทีไปยืนรอแสงกลางหิมะ 6-7 ชั่วโมงเพื่อถ่ายรูป คนชอบถ่ายรูปเขายังไม่เอาด้วยเลย เพราะถ้ามีคนที่โอเคกับเงื่อนไขทุกอย่างก็ไปด้วยกันได้ แต่ถ้ามีอะไรติดขัด ผมสามารถไปคนเดียวได้สบาย (กระทู้รีวิวท่องเที่ยวครั้งแรกของรุจ)
ความในใจของชายผู้หลงรัก ‘ฟูจิ’
ผมมีความฝันคืออยากถ่ายรูปดาวบนภูเขาฟูจิ สนุกกับการถ่ายรูปตอนกลางคืน วางขาตั้งกล้อง ลากชัตเตอร์ยาวๆ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยอินกับการดูดาวเลยนะ คราวนี้อินมาก เรียกว่าเป็นติ่งของฟูจิเลย ไปทุกครั้งก็ต้องพยายามถ่ายให้ได้มากที่สุด ต้นปีที่ผ่านมามีช่วงที่ท้องฟ้าบนฟูจิเคลียร์ 6 วันติดกัน เป็นทริปที่แทบไม่ได้นอน เพราะเริ่มถ่ายวันแรกช่วงแสงเย็น รอถ่ายจนเสร็จ กินข้าว เข้าที่พัก พอตี 1 ออกมาถ่ายท้องฟ้า ถ่ายดาวตอนกลางคืนต่อ ยิ่งวันที่มีทางช้างเผือกนะ อยู่ยาวตั้งแต่เที่ยงคืนถึง 7 โมงเช้า บางทีไม่มีที่พัก เพราะไม่ได้เช่าโรงแรม ไปอาศัยนอนในออนเซนสาธารณะ แช่น้ำเสร็จออกมานอนตรงเสื่อที่เขาปูไว้ ตอนกลางวันก็อาศัยนอนตามร้านอินเทอร์เน็ต วนแบบนี้อยู่ 6 วันเพื่อถ่ายภูเขาไฟฟูจิอย่างเดียว ใช้พลังมากนะ หลังๆ รู้สึกว่าเวลาอยู่เมืองไทยเหมือนกลับมาชาร์จพลัง พอเต็มแล้วค่อยออกไปใช้พลังที่ญี่ปุ่นอีก
กลายมาเป็นนักเขียนเต็มตัว
พอเขียนไปได้ 5 กระทู้ ผมเริ่มรู้สึกว่าผมแค่อยากถ่ายรูปสวยๆ อย่างเดียว ไม่อยากลงรายละเอียดทุกอย่างขนาดนั้นแล้ว เลยเลิกเขียนไป แล้วทางสำนักพิมพ์อัมรินทร์ติดต่อมา บอกว่าอยากเอาเนื้อหาใน 5 กระทู้นั้นมารวมเป็นเล่มเดียว แต่ผมรู้สึกว่าถ้าทำหนังสือทั้งที มันควรมีอะไรพิเศษมากกว่าที่คนอื่นเคยอ่านไปแล้ว เลยบอกเขาว่าจะรวมเอา 50 ที่ที่เคยไปมาแล้วมาแนะนำแทนดีกว่า ต้องไปเพิ่มมาอีก 2-3 ทริป เลยกลายเป็นเล่มแรกที่ชื่อ Japan Best Destinations
แล้วพอมีหนังสือออกมาก็ยิ่งมีแรงกระตุ้นให้ออกไปถ่ายภาพมากขึ้นอีก เล่มต่อมาผมเลยบ้าพลัง บอกว่าจะทำสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นให้ครบทั้ง 4 ฤดู กลายเป็นว่าผมต้องไปทุกที่ให้หมด แค่นั้นไม่พอ ต้องไปในทุกฤดูให้ครบด้วย สุดท้ายกลายเป็นว่าปีนั้นผมต้องไปญี่ปุ่นทั้งหมด 15 ครั้งในปีเดียวเพื่อเอากลับมาเขียนหนังสือ Japan Best of Seasons โดยเฉพาะ
กำไรความสุข ถึงแม้จะขาดทุนตัวเงิน
ต้องบอกก่อนการทำหนังสือแบบผมเป็นการทำที่ไม่มีกำไรเลย แถมขาดทุนย่อยยับ เพราะผมไม่มีสปอนเซอร์เลย ถ้ารวมของเล่ม Japan Best of Seasons ผมไปทั้งหมด 20 ทริป คิดง่ายๆ แบบถูกๆ ว่าทริปละ 40,000 บาท เท่ากับ 800,000 บาท สมมติว่าหนังสือเล่มหนึ่งขายได้ 400 บาท ผมได้ 10% คือ 40 บาท พิมพ์หนึ่งครั้ง 5,000 เล่ม เท่ากับ 200,000 แสนบาท ผมขาดทุนไป 600,000 แล้ว ผมต้องพิมพ์ทั้งหมด 20,000 เล่ม แล้วต้องขายให้หมดถึงจะไม่ขาดทุน อย่างตอนนี้จะพูดว่าผมทำงาน ร้องเพลง ออกอีเวนต์เพื่อหาเงินไปถ่ายรูปที่ญี่ปุ่นก็ได้
แต่ไม่ได้รู้สึกเสียดายนะ มันคุ้มค่า เพราะเราได้ไปเที่ยว ได้ไปถ่ายรูป ได้ไปเจออะไรที่ไม่เคยเจอ แล้วการมีหนังสือออกมาเป็นเล่ม มันคือโปรไฟล์ที่ดีที่เราเอาไปบอกคนอื่นได้ดีมาก ผมว่าเวลาเปิดเพจในมือถือให้ดู กับหยิบออกมาแบบเป็นเล่ม มันดูมีน้ำหนักกว่าเยอะ อย่างผมเอาหนังสือไปให้คนญี่ปุ่นดู เขาชอบมาก หลังๆ มีคนชวนให้ผมไปถ่ายรูปให้ ได้ไปเที่ยวฟรี ไปช่วยโปรโมตสถานที่ท่องเที่ยวให้เขา มันต่อยอดได้อีกเยอะ
ความแตกต่างของ ‘อาชีพ’ และ ‘งานอดิเรก’
เคยมีคนถามผมเหมือนกันว่าทำไมไม่เลิกเป็นนักร้องแล้วไปถ่ายภาพเป็นอาชีพไปเลย ผมบอกเลยว่าผมทำไม่ได้นะ เวลาพูดถึงอาชีพ ถ้าเราไม่ได้รวยล้นฟ้า เราต้องทำเพื่อความอยู่รอด แน่นอนว่าความเป็นตัวเองมันต้องหายไปเยอะ ยกเว้นคนที่ได้ทำสิ่งที่ชอบแล้วเป็นอาชีพได้จริงๆ นะครับ ทุกวันนี้ผมร้องเพลงเป็นอาชีพ ถามว่าใช่สิ่งที่ชอบทั้งหมดไหม ก็ไม่ใช่ เพราะความชอบจริงๆ ของผมคือเพลงร็อก ผมชอบ X-Japan เจร็อกแบบนั้นไปเลย แต่ถ้าไปร้องแบบนั้นใครเขาจะจ้างงาน เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องเพลงหวานๆ ที่ไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยการร้องเพลงยังเป็นสิ่งที่ผมชอบ อันนี้โอเค รับได้
แต่ถ้าผมต้องถ่ายภาพเป็นอาชีพขึ้นมา ต้องถ่ายรูปตามที่ลูกค้าสั่ง บางครั้งผมอาจจะชอบแบบนี้ แต่ลูกค้าบอกว่าไม่สวย ผมเคยเอารูปไปขายในเว็บ photostock ด้วยนะ แต่ทำได้แป๊บเดียว เพราะสุดท้ายเรายังต้องทำตามรูปแบบที่คนอื่นบอกว่าสวยอยู่ดี ผมอยากถ่ายรูปที่ผมคิดว่าชอบ แค่นั้นจบ ใครจะบอกว่าสวยหรือไม่สวยแบบไหน อันนั้นแล้วแต่คนมอง เพราะฉะนั้นงานอดิเรกมันได้เปรียบตรงที่มันคือพื้นที่ที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นผมจะไม่เอาไปปนกับอาชีพที่ต้องหารายได้จริงๆ แน่นอน
- ตอนปีหนึ่งรุจเคยเป็นนักบาส แต่เลิกเล่นตั้งแต่ปีสอง เพราะเอาเวลาทั้งหมดมาทุ่มให้กับการเล่นเกมแทน
- รุจมีนิสัยการเขียนหนังสือประหลาดจากอาการที่หัวสมองคิดเร็วกว่ามือ ทำให้เวลาเขียนคำที่มี 3 ตัวอักษร เขาจะเขียนตัวแรกและตัวสุดท้ายก่อน แล้วค่อยกลับมาเขียนตรงกลางทีหลัง เช่น คำว่า ‘สอง’ ที่จะเขียน ส_ง แล้วมาเติม อ.อ่าง หรือเวลาเขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ ก็ต้องเขียน R_J ก่อน แล้วมาเติม U ทีหลัง ทำให้เวลาเขียนหนังสือ รุจต้องใช้คอมพิวเตอร์อย่างเดียวเท่านั้น
- ตอนเด็กๆ รุจเกลียดการออกไปพูดหน้าชั้นเรียน แต่โตมาต้องเป็นนักร้องบนเวที และเป็นคนไม่ชอบถ่ายรูป เพราะเมื่อก่อนเคยถ่ายรูปผู้หญิงที่ชอบด้วยกล้องฟิล์ม แต่ไม่ชอบขั้นตอนการเอาไปที่ร้านล้างรูป เพราะไม่อยากให้คนเห็น แต่สุดท้ายเขาก็กลายมาเป็นคนคลั่งไคล้การถ่ายรูปอีกเช่นกัน
- รุจน่าจะเป็นเดอะ สตาร์ คนเดียว ที่ไม่เคยมีผลงานแสดงแบบจริงจังมาก่อน เพราะนั่นคือสิ่งเดียวในชีวิตที่เขาทำไม่ได้
- ภายในระยะเวลา 4 ปี รุจมีทริปเดินทางไปญี่ปุ่นรวมแล้วทั้งสิ้น 30 ครั้ง
- รุจจะถ่ายภาพญี่ปุ่นอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าไปที่อื่น เขาแทบไม่เคยหยิบกล้องติดตัวออกไปด้วยเลย
- หนังสือเล่มที่ 2 ของรุจ เป็นการรวมภาพและแคปชันในทวิตเตอร์ของเขา มีชื่อว่า ไม่มีการเดินทางครั้งใดที่สูญเปล่า
- รุจเปิดเพจที่ชื่อ Outside The Room ขึ้นมา เพื่อลงรูปและเนื้อหาต่างๆ เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งภายในเดือนกันยายน เราจะได้เห็นรายการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นชื่อเดียวกันที่เขาเป็นคนคิดและทำทุกอย่างขึ้นมาด้วยตัวเอง