ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเริ่มฟื้น Cryptomind ชี้ดอกเบี้ยอาจใกล้จุดสูงสุดแล้ว นักลงทุนวางแผนโอกาสและความเสี่ยงอย่างไรต่อ?

นับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อกลางปี 2022 ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีนั้นปรับตัวลงอย่างหนัก บรรยากาศการลงทุนในตลาดสินทรัพย์ประเภทนี้ก็อยู่ในสภาวะที่เซื่องซึมตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลาประมาณ 1 ปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมตลาดยังมีความไม่แน่นอน แต่ผู้ที่มีประสบการณ์อยู่ในวงการนี้ของประเทศไทยมานานอย่างบริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (Cryptomind Group) ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีพัฒนาการออกมาอย่างต่อเนื่องในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านงาน Cryptomind Mid-Year Investment Forum 2023 งานสัมมนาที่ทางบริษัทจัดขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีผู้เชี่ยวชาญร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดในปัจจุบันผ่านมุมมองตลาดการเงินโลก เพื่อหาโอกาสการลงทุน และวิธีการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งวิธีสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน

THE STANDARD WEALTH ได้มีโอกาสเข้าร่วมสัมมนา และอยากสรุปอินไซต์ของงานจากมุมมองของเศรษฐกิจภาพใหญ่และแนวโน้มของตลาดในครึ่งปีหลัง

แนวโน้มตลาดปรับไปในทางบวกมากขึ้น ไทยยังคงให้ความสนใจในคริปโตมากกว่าทั่วโลก

สำหรับในด้านภาพรวมตลาด สัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด พบว่า ความสนใจของคนทั่วโลกและไทยในการลงทุนกับคริปโตลดลงมาจากจุดพีคถึง 57% และ 39% ตามลำดับ หมายความว่าความสนใจของคนไทยนั้นแม้จะหายไปพอสมควร แต่ก็ไม่มากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลก ทางทีมยังพบว่า จำนวนบัญชีที่คนไทยเปิดกับผู้ให้บริการซื้อ-ขายคริปโตเคอร์เรนซีในไทยนั้นมีถึง 2.91 ล้านบัญชี หรือคิดเป็น 4.14% ของประชากร

ทั้งนี้ เรื่องที่น่าติดตามอีกอย่างในส่วนของประเทศไทยคือ การเปิดศูนย์ซื้อ-ขาย TDX ที่เป็นบริษัทในเครือของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะเปิดขายเหรียญประเภท Investment และ Utility Token เป็นหลัก ซึ่งคาดว่าน่าจะเปิดตัวในไตรมาส 3 ของปีนี้

ในส่วนของกฎหมายในโลกของคริปโต พีรพัฒน์ หาญคงแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุน ให้มุมมองต่อคดีความที่ทาง ก.ล.ต.สหรัฐฯ (SEC) ฟ้องร้อง Coinbase และ Binance ว่าเป็นการแสดงทิศทางเชิงลบของประเทศมหาอำนาจที่มีต่อคริปโตเคอร์เรนซี ทำให้ฮ่องกงเห็นโอกาสในอุตสาหกรรมนี้ที่ถึงกับประกาศว่า จะเข้ามาเป็น Crypto Hub ของโลกที่เปิดกว้างให้กับนักลงทุนทั่วไป และยังมีการเชื้อเชิญบริษัท Coinbase ให้มาปักฐานที่ฮ่องกง หวังดึงเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หรือจะเป็นในภูมิภาคยุโรปที่มีแผนจะให้กฎระเบียบการดำเนินธุรกิจคริปโตมีความชัดเจนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการฟ้องร้องคดีความต่อ Coinbase และ Binance ในสหรัฐฯ สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในประเทศก็ไม่ได้นิ่งเฉย และเริ่มขยับเข้ามาในธุรกิจนี้มากขึ้น เช่น BlackRock ที่เพิ่งยื่นขอ Bitcoin Spot ETF ซึ่งคนในแวดวงส่วนใหญ่มองว่า การยื่นขอดังกล่าวน่าจะได้รับการอนุมัติ ทำให้นี่เป็นหนึ่งในแนวโน้มเชิงบวกกับราคาของ Bitcoin ที่ปรับตัวขึ้นมายืนเหนือ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ และถ้าหากสถาบันการเงินต่างๆ ได้รับการอนุมัติ ETF จะส่งผลบวกกับตลาดมากในด้านของราคา แม้ว่าท่าทีของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ จะเป็นไปในเชิงลบ แต่จากการประเมินของโดยรวมของพีรพัฒน์ เขามองว่าสถานการณ์ภาพรวมของสหรัฐฯ ยังเป็นไปในทิศทางบวกและเป็นมิตรกับตลาดคริปโตอยู่

Fed เข้าใกล้จุดจบการขึ้นดอกเบี้ย หรือจะเป็นสัญญาณกลับตัวสินทรัพย์เสี่ยง?

มานะ คานิโยว หัวหน้าฝ่ายบริหารงานขายและพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและดอกเบี้ยว่า ตามการประชุมของ Fed ครั้งล่าสุด ดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะขึ้นอีกสองครั้งในปีนี้ไปอยู่ที่ระดับ 5.5-5.75% โดยทางทีมได้รวบรวมข้อมูลผลสำรวจจากสำนักข่าว Bloomberg ที่เผยว่า ความเห็นจากนักลงทุนผู้ใช้งาน Bloomberg Terminal (เครื่องมือที่นักลงทุนใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลทางการเงินแบบเรียลไทม์) ว่า ประมาณ 56% ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่า Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงประมาณไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า หรืออาจจะช้ากว่านั้น

Bloomberg Terminal เผยผลสำรวจว่า นักลงทุนเกินกว่าครึ่งมองว่า

ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2024

อีกปัจจัยที่มานะให้ความสำคัญคือเรื่องของวัฏจักรธุรกิจ (Business Cycle) โดยพิจารณาจากโมเดล Pring Turner’s Six Business Cycle Stages ที่ในหนึ่งวัฏจักรจะมีระยะเวลาทั้งหมดอยู่ที่ 4-5 ปี และถูกแบ่งออกทั้งหมดเป็น 6 ช่วง ประกอบไปด้วย 3 ช่วงที่เป็นการหดตัวของเศรษฐกิจ (Economic Contraction) และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (Economic Expansion)

หากเราประเมินจากช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาที่ยังอยู่ในช่วงที่ 1 (Stage 1) เราได้เห็นเงินลงทุนไหลเข้าไปในพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น โดยเฉพาะของสหรัฐอเมริกา จากช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นและความต้องการลดความเสี่ยงของนักลงทุนในช่วงเศรษฐกิจหดตัว แต่ตอนนี้ถ้าเรามองจากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยที่มีอยู่อีกไม่มากตามคำแถลงการณ์ของธนาคารสหรัฐแล้วนั้น มานะจึงมองว่าเราอยู่ในช่วงที่ 2 (Stage 2) ที่ดอกเบี้ยกำลังจะเข้าใกล้จุดพีค และเป็น ‘จุดเข้าซื้อที่เหมาะสม’ สินทรัพย์ อย่างเช่น หุ้นหรือคริปโตเคอร์เรนซี ถ้าเราพิจารณาจากโมเดล Pring Turner’s Six Business Cycle Stages ดังนั้นเมื่อดอกเบี้ยที่จะไปถึงจุดพีคในอีกไม่กี่เดือนและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขาลง ฉะนั้นโจทย์สำคัญคือ การวางแผนลงทุนให้เหมาะสมตามวัฏจักรธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

วัฏจักรธุรกิจของ Pring Turner

โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่ยังคงมองคริปโตเคอร์เรนซีเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ซึ่งทางทีมผู้บรรยายก็เข้าใจในมุมนี้ แต่อย่างที่เราน่าจะเคยได้ยินประโยคนี้บ่อยๆ ในโลกของการลงทุนคือ ‘เสี่ยงสูง ผลตอบแทนก็สูงตาม’ ทางทีม Cryptomind เลยได้ลองเปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุนของ Portfolio 2 แบบ โดยข้อมูลที่แสดงให้เห็นจะเป็นของตั้งแต่เริ่มปี 2023 จนถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2023

แบบแรกคือลงทุนหุ้นในตลาดอย่าง SET, Nasdaq และ Hang Seng ส่วนแบบที่สองคือลงทุนในสินทรัพย์แบบเดียวกัน ยกเว้นแต่แบ่งสัดส่วนจาก SET และ Nasdaq มาอย่างละ 10% เป็นทั้งหมด 20% เพื่อลงทุนในเหรียญที่ใหญ่ที่สุดคือ Bitcoin (BTC) ผลลัพธ์พบว่า ผลตอบแทนของพอร์ตที่มี Bitcoin 20% นั้นมีผลตอบแทนมากกว่าถึง 10 เท่าในสภาวะตลาดของครึ่งปีแรก

ผลตอบแทนเปรียบเทียบของพอร์ตลงทุน 2 แบบ

ตั้งแต่ต้นปี 2023 จนถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2023

หมายเหตุ: ข้อมูลจาก Cryptomind ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2023

จากการวิเคราะห์ของทีมงาน Cryptomind ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาในสังเวียนของสถาบันการเงินขนาดใหญ่อย่าง BlackRock การแข่งขันกันเป็นศูนย์กลางคริปโตของสหรัฐฯ ยุโรป และฮ่องกง หรือรอบของวัฏจักรธุรกิจที่เรากำลังจะถึงจุดสูงสุดของดอกเบี้ยและค่อยๆ เข้าสู่ขาลง ปัจจัยเหล่านี้น่าจะเป็นข้อมูลให้นักลงทุนนำไปพิจารณาถึงโอกาสและความเสี่ยงที่มีอยู่ในตลาด เพื่อการตัดสินใจลงทุนว่าควรจะเป็นอย่างไรต่อไป

อ้างอิง: