เปิดปม USDT กระทบ ‘บาทแข็ง’ แค่ไหน? ‘แบงก์ชาติ’ ประกาศลุย ยกระดับติดตามธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FX) ที่เกี่ยวข้องสินทรัพย์ดิจิทัล หวังสกัดบาทแข็ง ด้านผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ชงกฎหมาย Travel Rule คือหนทางแก้ปริศนา ‘เงินเทา’
การแข็งค่าของเงินบาทที่เร็วและแรงในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 นี้ กำลังได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก ว่าต้นตอมาจากอะไร? นอกจากนี้ มีผู้คนในสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมากกำลังตั้งข้อสงสัยถึง ‘โฟลว์’ หรือกระแสเงินลงทุนที่มาจากสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ รวมไปถึงสเตเบิลคอยน์อย่าง ‘USDT’ ที่อาจเชื่อมโยงกับ ‘เงินเทา’ จะมีส่วนที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าหรือไม่
หลังจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า ในเดือนพฤศจิกายน USDT ครองสัดส่วนถึง 52% ของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอ้างอิงข้อมูลจากแบบรายงานที่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลรายงานต่อสำนักงานก.ล.ต.
ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติชี้แจง ‘บาทแข็ง’ เพราะอะไร
วันนี้ (18 ธันวาคม) วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การแข็งค่าของเงินบาทมาจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยพื้นฐาน และกระแสเงินทุน (Flow) ที่ไหลเข้ามาในประเทศ ดังนี้
- ส่วนแรก: การแข็งค่าของบาทจาก ‘ปัจจัยพื้นฐาน’ (Fundamental) ตัวอย่างเช่น การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐที่ราว 10% ตั้งแต่ต้นปี การเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Balance) และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งวิทัยกล่าวว่า การแข็งค่าลักษณะนี้ เป็นปัจจัยที่ ธปท. ‘คุมไม่ได้’
- ส่วนที่สอง: กระแสเงินลงทุน (Flow) ที่เข้ามาลงทุนในไทยจากต่างชาติ (Non-residents) ในตลาดต่างๆ ‘ค่อนข้างเยอะ’ ตัวอย่างเช่น ตราสารหนี้ ทองคำ และสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นต้น
‘แบงก์ชาติ’ ดูแลค่าเงินบาทอย่างไร?
วิทัยกล่าวต่อว่า ปัจจุบัน ธปท. พยายามเข้าไปดูแลในส่วนที่จะทำได้ทั้งหมดแล้ว ได้แก่
1. การเข้าดูแลหรือแทรกแซงในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า/ อ่อนค่าเร็วเกินไป
อย่างไรก็ตาม วิทัยชี้ว่า ธปท. ยังมีข้อจำกัด ตามเกณฑ์การแทรกแซงตลาดค่าเงินที่ตกลงไว้กับรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และถูกย้ำอีกครั้งในช่วงการเจรจาภาษีกับรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ “ด้วยข้อจำกัดดังกล่าวทำให้ ธปท.ไม่สามารถเข้าแทรกแซงค่าเงินในลักษณะที่ ‘ตรึง’ ค่าเงิน หรือทำให้ค่าเงิน ‘เปลี่ยนทิศทาง’ ได้” วิทัยกล่าว
2. มาตรการที่ดำเนินการแล้ว โดยให้ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) เข้มงวดในการตรวจสอบเอกสาร ก่อนรับทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ (FX) ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ โดยต้องเรียกหลักฐานทุกธุรกรรม
3. มาตรการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่
ให้ผู้ค้าทองคำรายใหญ่รายงานข้อมูล การทำธุรกรรมทองคำอย่างละเอียด
การเข้าตรวจสอบธุรกรรมขาย FX เพื่อป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่พึงประสงค์ หรือไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจปกติ
ผู้ว่าฯ ธปท. ย้ำยังไม่คิดเก็บภาษีสกัดเงินเข้าประเทศ
ผู้ว่าการ ธปท. ยังกล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการที่มีความรุนแรงเกินกว่านี้ เช่น การเก็บภาษีเงินนำเข้า หรือการสกัดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ‘ยังไม่สามารถทำได้’ และยังไม่เหมาะสม
“ถามว่า Flow จากต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศ ธปท.ปิดได้หรือไม่ คำตอบคือ ปิดได้ แต่คำถามคือ เราพร้อมกันหรือไม่ ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ แบงก์ชาติเคยใช้มาตรการกันสำรองเงินลงทุนต่างประเทศ 30% ในสมัยผู้ว่าการฯ ธาริษา วัฒนเกส ซึ่งทำให้ตลาดติดลบวันเดียว 13% ดังนั้น ผมคิดว่า เราต้องใช้มาตรการที่ค่อยๆ เป็นค่อยไป “
“การเก็บภาษีแบบสมัยท่านผู้ว่าฯ ธาริษา ทำได้ แต่การประเมินที่ไม่ดี ก็จะทำให้ตลาด Crash ได้ทันที ผมไม่คิดว่ามีใครในห้องนี้อยากเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น รวมถึงแบงก์ชาติด้วย ซึ่งนับเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดของเรา”
“เราไม่สามารถใช้สิ่งที่รุนแรงเกินไปเช่น เก็บภาษีเหมือนช่วงปี 2010 ที่ทำให้ตลาด Crash ทันที อันนี้ทำไม่ได้” วิทัยกล่าว
ทั้งนี้ ธปท.เคยประกาศใช้มาตรการกันสำรองเงินลงทุนจากต่างประเทศ 30% ในช่วงปลายปี 2549 เพื่อสกัดกั้นเงินทุนระยะสั้นต่างประเทศที่เข้ามาเก็งกำไรเงินบาท และเพื่อชะลอการแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วของเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลอื่นๆ ก่อนจะยกเลิกในวันที่ 3 มีนาคม 2551
เปิดปม USDT กระทบ ‘บาทแข็ง’ แค่ไหน?
วันนี้ (18 สิงหาคม) ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธปท. ชี้แจงว่า การซื้อขายเหรียญ USDT ผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange: DA exchange) ในประเทศไทย เป็นลักษณะของการทำธุรกรรมที่คล้ายการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ เช่น หลักทรัพย์ ซึ่งหากมีธุรกรรมขาย ก็จะได้รับเป็นเงินบาทกลับมา โดยไม่ต้องผ่านการแลกเงินดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น การซื้อขาย USDT บน DA exchange ในประเทศจึงไม่ได้ส่งผลต่อค่าเงินบาทโดยตรง
ในทำนองเดียวกัน หากมีการนำเงินที่เข้าข่ายต้องสงสัยมาซื้อ/ขาย USDT ผ่าน DA exchange ในไทย ก็จะเป็นธุรกรรมในรูปเงินบาท ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินโดยตรงเช่นกัน
อย่างไรก็ดี โดยอ้อม หากมีการขาย USDT ในจำนวนที่มากกว่าแรงซื้อ จะส่งผลให้ราคาของ USDT ใน DA exchange ในไทยต่ำลง ก็อาจเกิดการนำเอา USDT ไปขายใน DA exchange ต่างประเทศที่มีราคาสูงกว่า ทำให้ได้รายรับเป็น USD และนำเงินดังกล่าวเข้ามาในไทยเพื่อแลกเป็นเงินบาท ซึ่งกรณีนี้ จะส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าได้
โดยจากข้อมูลที่ได้รับในปัจจุบัน พบว่าสัดส่วนธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลมีสัดส่วนต่ำกว่า 1% ของธุรกรรมการซื้อขายเงินตราต่างประเทศทั้งหมด จึงไม่ใช่สาเหตุที่จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ
‘แบงก์ชาติ’ ลุย! ยกระดับติดตามการแลกเงินที่เกี่ยวข้องสินทรัพย์ดิจิทัล
นอกจากนี้ โฆษก ธปท. ยังกล่าวต่อว่า ปัจจุบัน ธปท. อยู่ระหว่างการตรวจสอบและยกระดับความเข้มงวดในการติดตามรายละเอียดธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินที่มาจากสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ธปท. กำหนดให้สถาบันการเงินในประเทศรายงานข้อมูลธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาททุกประเภทมายัง ธปท. ซึ่งรวมถึงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย
จะรู้ได้อย่างไรว่า USDT เทาหรือไม่เทา Travel Rule คือคำตอบ
ขณะที่ ผู้ว่าการ ธปท.ยังตอบประเด็นมีข้อสงสัยว่า มีการใช้ USDT แบบไม่พึงประสงค์หรือเป็นเงินเทาหรือไม่ โดยระบุว่า เข้าใจว่า มีหน่วยงานที่รับผิดชอบก็เร่งดำเนินการดูอยู่ พร้อมมองว่า การมีกฎหมาย Travel Rules คือคำตอบของข้อสงสัยนี้
“ที่บอกว่า มีการซื้อขาย USDT สูงผิดปกติทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ทำไมแบงก์ชาติไม่รู้ แบงก์ชาติรู้ครับ รู้ว่า มันไม่เกี่ยวกับบาทแข็ง เรื่องนี้เป็นคนละเรื่องกับความสงสัยว่า เงินที่เข้าเป็นแหล่งมาของเงินที่ไม่พึงประสงค์ หรือ ‘เงินเทา’ หรือไม่ อาจจะเป็นไปได้ว่า มีเงินจากต่างประเทศที่เป็นเทา หรือไม่เทา หรือไม่พึงประสงค์ ต้องการ convert เป็นบาทแล้วอาจทำให้เกิดการซื้อขายเยอะในไทย ผมเข้าใจว่า มีหน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งดำเนินการดูอยู่ โดยการมีกฎหมาย Travel Rule คือคำตอบของข้อสงสัยนี้”
ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ย้ำแก้บาทแข็ง-เงินเทาต้องใช้ ‘ความร่วมมือ’
วิทัยกล่าวย้ำว่า “แบงก์ชาติอยากให้ค่าเงินบาทอ่อนสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ แต่ (การทำให้บาทอ่อน) ไม่ใช่กดปุ่มแล้วทำได้เลย เหล่านี้ต้องใช้หน่วยงานหลายๆ หน่วยช่วยมากำกับดูแล”
พร้อมกล่าวต่อว่า ธปท.ได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงการคลัง และก.ล.ต. มาโดยตลอด เพื่อให้รู้แหล่งที่มาของเงินต่างๆ รวมไปถึง คริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งปัจจุบัน กำลังรอคอยกฎหมาย Travel Rule อยู่ ซึ่งหลายประเทศเริ่มออกไปแล้ว โดยไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่อยากให้มีกฎหมายนี้โดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ ‘Travel Rule’ คือ กฎหมายที่กำหนดให้ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งฝั่งผู้โอนและผู้รับ จะต้องรวบรวมและส่งข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนของทั้งผู้ริเริ่ม (Originator) และผู้รับผลประโยชน์ (Beneficiary) ไปพร้อมกับการโอนนั้น เพื่อป้องกันการฟอกเงิน


