ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีซื้อขายในสภาวะตลาดหมีอย่างต่อเนื่อง และถูกซ้ำเติมด้วยเหตุการณ์ร้ายมากมาย นับตั้งแต่การล่มสลายของเครือข่าย Terra เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จนถึงการล้มละลายของ FTX ที่เคยเป็นเว็บเทรดคริปโตอันดับ 2 ของโลก
วันนี้ THE STANDARD WEALTH จะมาสรุปเหตุการณ์การล้มละลายของเว็บเทรดคริปโตที่เคยเป็นอันดับ 2 ของโลกให้ฟังว่าเป็นมาอย่างไรบ้าง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สรุปการล่มสลายของ FTX ที่อาจจุดชนวนวิกฤตในตลาดคริปโต
- Sam Bankman-Fried ลาออกจากซีอีโอ FTX พร้อมยื่นล้มละลายอย่างเป็นทางการ
- ขนหน้าแข้งไม่ร่วง! ‘Sequoia Capital’ เผยบันทึกมูลค่าการลงทุนทางบัญชีกว่า 7 พันล้านบาทใน FTX เป็น ‘0’ แล้ว
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์
CoinDesk เว็บไซต์คริปโตชื่อดังได้ตีแผ่รายงานว่า สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของ Alameda Research มากกว่า 80% เป็นโทเคน FTT ของ FTX เว็บเทรด
นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับมูลค่าเหรียญที่ถูกเสกขึ้นมาจากอากาศ เนื่องจาก Alameda Research ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ FTX ได้ถือครองเหรียญ FTT มากเกินไป และมีการบันทึกบัญชีให้มีมูลค่าสูงเกินจริง นอกจากนี้ ยังมีหนี้สินของบริษัทที่ไม่ได้มีการระบุที่มาอย่างชัดเจน และการลิสต์เหรียญที่มีสภาพคล่องต่ำอีกมากมาย
ความกังวลนี้ถูกตอกย้ำเมื่อ ฉางเผิง จ้าว หรือที่รู้จักกันว่า ‘CZ’ ซีอีโอของ Binance ประกาศผ่าน Twitter ว่าแพลตฟอร์มของเขากำลังขายโทเคน FTX ทั้งหมดในบัญชีของตน เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอยกับการล่มสลายของ Terra โดยจะมีการทยอยขายทั้งหมดภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ข่าวนี้ส่งผลให้ราคาเหรียญ FTX ดิ่งลงทันทีกว่า 10% หลังจากทวีตของ CZ
โทเคน FTT โดนเทขาย นักเทรดแห่ถอนเงินออกจากเว็บเทรด FTX
ความกลัวที่ถาโถมเข้ามาในตลาด รวมถึงข่าวลือว่า FTX อาจล้มละลายตามรอย บริษัท Celsius ได้แพร่สะพัดทั่วโซเชียลมีเดีย ทำให้นักลงทุนแห่ถอนเงินออกจากแพลตฟอร์ม FTX จำนวนมาก โดยในช่วง 72 ชั่วโมงแรกที่มีข่าว นักลงทุนได้ถอนเงินออกจากเว็บเทรดมากถึง 6 พันล้านดอลลาร์ และในที่สุด เว็บเทรดอย่าง FTX ต้องออกมาประกาศหยุดการถอนเงินในวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
FTX ยื่นล้มละลาย
ทาง FTX ได้พยายามแก้ไขสถานการณ์โดยการเข้าไปเจรจากับ Binance ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่ง ทาง Binance ก็ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงที่ไม่มีผลผูกพันสำหรับการเข้าซื้อกิจการของ FTX ซึ่งเป็นเว็บเทรดสกุลเงินดิจิทัลชั้นนำของโลก และภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงของขั้นตอนการสอบทานธุรกิจ หรือ Due Diligence ทาง Binance ก็ได้ปฏิเสธดีลการเข้าซื้อกิจการ FTX ทำให้ทาง FTX ต้องยื่นล้มละลาย ตามหมวดหมู่ที่ 11
ตลาดระแวงผลกระทบที่ลุกลาม
เนื่องจาก FTX มีบริษัทลูกมากมาย และผลิตภัณฑ์ทางการเงินของบริษัทยังมีความเกี่ยวข้องกับตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ซึ่งมีความเสี่ยงและใช้ Leverage สูง (กู้เงินมาลงทุน) การล้มละลายของ FTX จึงอาจส่งผลกระทบเป็นโดมิโนต่อบริษัทได้ ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงแห่ถอนเงินออกจากแพลตฟอร์มซื้อขายหลายแห่ง
เริ่มตั้งแต่ Crypto.com ที่แพลตฟอร์มได้โอนเงินไปมาระหว่าง gate.io ซึ่งอาจแสดงให้เห็นว่านี่เป็นเพียงการยืมสินทรัพย์กันเองเพื่ออกมาโชว์ใน Proof-of Reserve เท่านั้น ไม่ได้เป็นสินทรัพย์ที่บริษัทถือครองจริงๆ ความไม่เชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อ Crypto.com ทำให้มีการโอนเงินออกจากแพลตฟอร์มจำนวนมาก จนต้องปิดการถอนไปชั่วคราว
ต่อมา BlockFi ซึ่งเป็นบริษัทที่เคยถูก FTX ซื้อกิจการไปก็ยื่นล้มละลายไปอีกแห่ง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการล่มสลายของ FTX
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา Genesis Global แพลตฟอร์มปล่อยกู้คริปโตรายใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทเครือเดียวกับ Grayscale ได้ประกาศปิดการถอนเงินชั่วคราว การประกาศปิดถอนเงินครั้งนี้ ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อบริษัทอื่นๆ อีก เช่น Gemini เว็บเทรดคริปโตของสองพี่น้องตระกูล Winklevoss ที่มีช่องทาง Gemini Earn ที่นำเงินของลูกค้าไปลงทุนเพื่อรับดอกเบี้ยจาก Genesis
หนึ่ง-ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือเว็บเทรด Satang Pro ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการล้มละลายของ FTX ว่า เหตุการณ์นี้จะส่งผลกระทบในวงกว้าง ยิ่งกว่าการล่มสลายของเครือข่าย Terra เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาอย่างเทียบกับไม่ได้ เนื่องจาก FTX มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทคริปโตอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งเว็บเทรดคริปโต และผลิตภัณฑ์การเงินรูปแบบ Derivatives, Futures, Traditional Fund, Market Maker และโทเคน FTT
จับตาดู Genesis ให้ดี
Genesis เป็นส่วนหนึ่งของ Digital Currency Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Grayscale บริษัทจัดการกองทุนสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่ของโลก บริษัทได้บริการกู้ยืมคริปโตมูลค่ามหาศาลระดับหมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งการล่มสลายของ Terra เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้บริษัทอยู่ในสถานะที่ไม่ดี เนื่องจาก Genesis เป็นเจ้าหนี้ของ Three Arrows Capital (3AC) และ Babel Finance ที่ยื่นล้มละลายจากการล่มสลายของ Terra
คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า การล่มสลายของ FTX จะส่งผลกระทบต่อ Genesis มากแค่ไหน หลังจากที่มีการปิดถอนเงินไปเมื่อ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ที่แน่ๆ หนึ่งในเว็บเทรดคริปโตชั้นนำอย่าง Gemini ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เนื่องจากเว็บเทรดมีการสร้างผลตอบแทนจาก Genesis อีกทอดหนึ่ง
เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆ ที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก อย่าลืมว่า ‘Not your key, not your coins’ การจัดเก็บสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับนักลงทุนในขณะนี้คงมีเพียง Hardware Wallet เท่านั้น
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูงมาก นักลงทุนจึงควรกระจายความเสี่ยง ศึกษาหาข้อมูล และวางแผนในการลงทุนด้วยความรอบคอบ บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น
อ้างอิง: