×

มีประกันสุขภาพแล้ว ประกันโรคร้ายแรงยังจำเป็นมั้ย?

25.08.2025
  • LOADING...
ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง

คุณผู้อ่านเคยซื้อลอตเตอรี่มั้ยครับ?

 

ในจักรวาลของประกันที่ให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพ นอกเหนือจากประกันสุขภาพแล้วยังมีประกันอีกประเภทหนึ่งก็คือ ‘ประกันโรคร้ายแรง’ ซึ่งข้อแตกต่างที่สำคัญจากประกันสุขภาพ คือลักษณะการจ่ายผลประโยชน์ที่จะจ่ายเป็น ‘เงินก้อน’ อย่างไรก็ดีด้วยความที่ทั้งสองแบบประกันให้ความคุ้มครองที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเช่นเดียวกัน 

 

ผมพบว่ามีแนวคิดหนึ่งที่ค่อนข้างโดดเด่น โดยเป็นแนวคิดในการซื้อประกันโรคร้ายแรงเพื่อทดแทนประกันสุขภาพ เนื่องจากเบี้ยประกันถูกกว่า หากเจ็บป่วยเป็นโรคทั่วไปก็ใช้สิทธิสวัสดิการ หรือจ่ายเองก็ว่าไป ส่วนถ้าเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงก็นำเงินก้อนที่ได้รับจากประกันโรคร้ายแรงไปเป็นค่ารักษา ซึ่งในมุมมองของผม อาจจะเห็นต่างออกไป จะเป็นอย่างไรเราลองมาดูกันครับ

 

ประกันโรคร้ายแรงคืออะไร?

 

ประกันโรคร้ายแรงถือเป็นหนึ่งในแบบประกันที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับสุขภาพ โดยในสัญญาจะกำหนดนิยามของโรคร้ายแรงชนิดต่างๆ ไว้ และหากผู้ทำประกันเจ็บป่วยเป็นโรคดังกล่าว บริษัทประกันก็จะจ่ายผลประโยชน์ให้แก่ผู้เอาประกัน ทั้งนี้เนื่องจากโอกาสในการเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงจะค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับการเจ็บป่วยทั่วไป ดังนั้นประกันโรคร้ายแรงจึงมีจุดเด่นในการจ่ายผลประโยชน์เป็นจำนวนเงินที่สูงเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันที่ลูกค้าชำระ ถ้าเราลองสำรวจอัตราเบี้ยประกันของประกันโรคร้ายแรงที่ขายอยู่ในตลาด โดยสมมติกรณีผู้ทำประกันมีอายุ 35 ปี จะมีเบี้ยประกันเพียง 2-3 พันบาท ขณะที่ได้ความคุ้มครองสูงถึง 1 ล้านบาท และด้วยความที่เบี้ยประกันไม่ได้สูงมากนักจึงมักจะได้รับความสนใจจากลูกค้า ในแง่ที่ว่า ‘ทำไว้เผื่อเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงก็จะได้เงินก้อน’

 

มาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านที่ติดตามกันมา คงจะเดากันได้ว่าผมจะก็ต้องถามคำถาม (อีกแล้ว) ว่า ‘แล้วแนวคิดในการซื้อประกันโรคร้ายแรงคืออะไร’ ใช่ครับ เพราะถ้าเรามีแนวคิดในการพิจารณาซื้อประกันโรคร้ายแรง เราจะตอบตัวเองได้ถึงความจำเป็นของการมีประกันโรคร้ายแรงรวมถึงการพิจารณาความคุ้มครองที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นแล้วการซื้อประกันโรคร้ายแรงมันก็อาจจะเป็นเหมือนกับข้อความในบรรทัดแรกของบทความนี้

 

ประกันโรคร้ายแรง จำเป็นไหม?

 

ลองจินตนาการว่า ‘เมื่อเราเป็นโรคร้ายแรงแล้วจะเกิดอะไรขึ้น’ อย่างแรกเลยก็คงเป็นความทุกข์ทรมานทั้งทางกายและทางใจที่รุนแรงกว่าการเจ็บป่วยเป็นโรคทั่วไป แต่รู้มั้ยครับสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ การเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงมักส่งผลกระทบไปถึงการดำเนินชีวิตประจำวันซึ่งรวมไปถึงการทำงานหาเลี้ยงชีพ ความสามารถในการหารายได้อาจจะลดลงหรือถึงขั้นไม่สามารถทำงานต่อได้ นอกจากนี้ยังอาจเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่ตามมาเช่น การปรับปรุงที่อยู่อาศัยหรือการซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับการดูแลรักษาร่างกาย เป็นต้น

 

มาถึงคำถามที่ว่า ‘ถ้ามีประกันสุขภาพแล้ว จำเป็นต้องมีประกันโรคร้ายแรงอีกมั้ย?’ คุณผู้อ่านลองพิจารณาตามผมดูนะครับ เมื่อเราเจ็บป่วยไม่ว่าจะเป็นโรคทั่วไปหรือโรคร้ายแรงประกันสุขภาพจะทำหน้าที่ในการคุ้มครอง ‘ค่ารักษาพยาบาล’ ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดีหากพิจารณาถึงผลที่ตามมาจากการเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการหารายได้ที่ลดลง บางรายอาจจะยังมีภาระหนี้สินที่ต้องชำระ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตที่อาจจะสูงขึ้น เราจะพบว่าประกันสุขภาพยังไม่ตอบโจทย์ความคุ้มครองในส่วนนี้ จุดนี้จึงเป็นหน้าที่ของ ‘ประกันโรคร้ายแรง’ ที่จะเข้ามาช่วยเป็นหลักประกันทั้งในฝั่งของรายได้และค่าใช้จ่าย

 

เทคนิคการพิจารณาทำประกันโรคร้ายแรง

 

ขั้นแรกผมอยากให้พิจารณาถึงความคุ้มครอง หรือ ‘เงินก้อน’ ที่เราต้องการ โดยให้พิจารณาจากแผนการเงินที่เราวางไว้ หากรายได้หายไปหรือมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจะกระทบกับเป้าหมายทางการเงินของเราอย่างไรบ้าง บางท่านอาจจะเป็นเรื่องของภาระหนี้สิน บางท่านอาจจะเป็นแผนเพื่อการศึกษาของลูก ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดความคุ้มครองในการพิจารณาทำประกันโรคร้ายแรง ส่วนใครที่ไม่มีภาระทางการเงินเท่าไหร่ ก็อาจจะพิจารณาในฝั่งของค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจากประสบการณ์ผมจะขอแนะนำไว้ที่ประมาณ 3 ล้านบาท 

 

หลังจากที่เราพิจารณาความคุ้มครองหรือทุนประกันที่เราต้องการได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการพิจารณาเลือกประกันโรคร้ายแรงที่สอดคล้องกับงบประมาณ โดยในที่นี้จะแบ่งประกันโรคร้ายแรงออกเป็น 2 กลุ่ม ตามลักษณะของการชำระเบี้ย ได้แก่ 1) ประกันโรคร้ายแรงแบบชำระเบี้ยตามอายุ และ 2) ประกันโรคร้ายแรงแบบชำระเบี้ยคงที่ 

 

  • ประกันโรคร้ายแรงแบบชำระเบี้ยตามอายุ ประกันประเภทนี้จะคิดเบี้ยประกันตามความเสี่ยงในการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง ดังนั้นแล้วในช่วงที่อายุน้อยก็จะมีอัตราเบี้ยประกันที่ต่ำกว่า และเบี้ยประกันจะปรับเพิ่มขึ้นตามอายุเมื่อเปรียบเทียบที่ความคุ้มครองเท่ากัน ซึ่งการคิดเบี้ยประกันลักษณะนี้จะเหมาะกับกลุ่มอายุต่ำกว่า 50 ปี ลงมา เนื่องจากเป็นช่วงชีวิตที่ยังคงต้องการความคุ้มครองที่สูงเพื่อให้สอดคล้องกับภาระทางการเงินต่างๆ 
  • ประกันโรคร้ายแรงแบบชำระเบี้ยคงที่ มีจุดเด่นในการใช้สำหรับวางแผนการเงินระยะยาว เนื่องด้วยอัตราเบี้ยประกันคงที่ตลอดอายุสัญญาจึงทำให้ง่ายต่อการวางแผนการเงิน อย่างไรก็ดีมีข้อสังเกตที่อัตราเบี้ยประกันในช่วงที่อายุน้อยจะสูงกว่าประกันโรคร้ายแรงแบบชำระเบี้ยตามอายุเมื่อเทียบความคุ้มครองที่เท่ากัน

 

คุ้มครองสุขภาพ ด้วยส่วนผสมระหว่างประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรง

 

เพื่อให้คุณผู้อ่านเห็นภาพชัดๆ ของการผสมผสานความคุ้มครองด้านสุขภาพผมจะขอยกตัวอย่างจากการทำประกันของตัวผมเอง โดยเริ่มต้นจากประกันสุขภาพซึ่งผมเลือกประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายเพื่อตัดความกังวลถึงค่าใช้จ่ายส่วนเกินในกรณีเจ็บป่วย โดยเลือกความคุ้มครองไว้ที่ 20 ล้านบาท ซึ่งเป็นการคำนวณเผื่อค่ารักษาพยาบาลที่จะปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต และด้วยเคล็ดลับการทำประกันสุขภาพที่กล่าวไว้ในบทความที่แล้ว ผมได้เลือกแผนความรับผิดส่วนแรกไว้ด้วย ซึ่งช่วยให้เบี้ยประกันถูกลงค่อนข้างมาก 

 

สำหรับประกันโรคร้ายแรงผมแบ่งงบประมาณออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกนำไปซื้อประกันโรคร้ายแรงแบบชำระเบี้ยคงที่ไว้เป็นหลักประกัน ‘อีกก้อนหนึ่ง’ ในกรณีที่เราเกิดโชคร้ายเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง ด้วยจุดเด่นของ ‘เบี้ยคงที่’ ทำให้ง่ายต่อการวางแผนการเงินซึ่งเรามั่นใจว่าสามารถชำระเบี้ยไปจนครบอายุความคุ้มครอง ส่วนงบประมาณส่วนที่เหลือผมแบ่งไปซื้อประกันโรคร้ายแรงแบบชำระเบี้ยตามอายุ เพื่อให้เราได้ความคุ้มครองสูงพอตามที่เราต้องการ 

 

อย่างไรก็ดี ผมตั้งใจไว้ว่าในอนาคตเมื่อเรามีภาระทางการเงินที่ลดลงก็อาจจะยกเลิกประกันโรคร้ายแรงแบบชำระเบี้ยตามอายุ ซึ่งในช่วงนั้นความต้องการของเราก็คงจะเป็นเรื่องของความคุ้มครองด้านการรักษาพยาบาลเป็นหลัก ซึ่งได้รับความคุ้มครองจากประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ด้วยการวางแผนประกันแบบนี้ผมก็สามารถประหยัดเบี้ยประกันโรคร้ายแรงส่วนหนึ่งเพื่อนำไปชำระเบี้ยประกันสุขภาพได้ 

 

ในการวางแผนประกันสุขภาพ แต่ละคนก็มีความต้องการและข้อจำกัดแตกต่างกันไป ตัวอย่างของผมก็อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของคุณผู้อ่าน ในกรณีนี้แนะนำว่าลองติดต่อตัวแทนขายประกันชีวิตเพื่อให้ช่วยวางแผนการทำประกัน รวมถึงการได้เห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่อาจจะตอบโจทย์ความต้องการได้ตรงขึ้น 

 

ซึ่งผมก็ขอทิ้งท้ายบทความนี้ด้วยการ ‘เชียร์’ ให้คุณผู้อ่านลองประเมินแผนการเงินกันดูอีกทีว่ามีความเสี่ยงอะไรที่เราสามารถที่จะ ‘ถ่ายโอน’ ออกไป ผ่านการซื้อประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้หรือไม่ ถ้ายังพอมีช่องว่างก็หวังว่าซีรีส์บทความประกันชีวิตทั้ง 3 บทความ จะช่วยเป็นแนวคิดให้คุณผู้อ่านเลือกซื้อประกันได้เหมาะสมกับความต้องการนะครับ สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ

 

ภาพ: Jacob Wackerhausen / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising