×

วิกฤตเรอัล มาดริด ยุคทองของ ‘กาลาคติกอส’ ที่สิ้นสุดลง

06.03.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • ครั้งสุดท้ายที่เรอัล มาดริด ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายแชมเปียนส์ลีก ต้องย้อนกลับไปไกลถึงปี 2010 หรือเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกที่ คริสเตียโน โรนัลโด ย้ายมาสวมชุดขาวอย่างเป็นทางการด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติโลกในเวลานั้น
  • เรอัล มาดริด ไม่เคยขาดแคลนซูเปอร์สตาร์ ไม่ว่าจะเป็น หลุยส์ ฟิโก, ซีดาน, โรนัลโด, เดวิด เบ็คแฮม เรื่อยมาจนถึงโรนัลโดและเบล แต่นับจากปี 2014 เป็นต้นมาก็ไม่มีซูเปอร์สตาร์ในระดับนี้ที่เก็บข้าวของเข้ามาสู่เบอร์นาบิวอีก
  • กิลเยม บาลาเก นักวิเคราะห์ฟุตบอลชาวสเปนชื่อดัง มองหนึ่งในเหตุผลสำคัญคือการที่ตลาดนักฟุตบอลในปัจจุบันมีการแข่งขันกันรุนแรงมาก เรอัล มาดริด ไม่ใช่ทีมเดียวที่มีอำนาจต่อรองเหนือสโมสรอื่น

ภายในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ฤดูกาลของทีม ‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด ได้จบลงอย่างสิ้นเชิงและจบลงอย่างเจ็บปวดที่สุด

 

พวกเขาแพ้บาร์เซโลนาซึ่งเป็นคู่ปรับตลอดกาลอย่างราบคาบในเกมโกปา เดล เรย์ หรือฟุตบอลถ้วยของสเปน คาสนามซานติเอโก เบอร์นาบิว ของตัวเอง 3-0 จากนั้นถูกบาร์ซาบุกมาเอาชนะได้อีก 1-0 ที่เบอร์นาบิวเหมือนเดิมในเกม ‘เอล กลาซิโก’ และล่าสุดในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก พวกเขาแพ้คาบ้านอีกครั้งต่ออาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม 4-1 กระเด็นตกรอบอย่างน่าอับอาย

 

ความจริงทุกอย่างมันเลวร้ายกว่านั้น เพราะจริงๆ แล้วพวกเขาพ่ายคารังต่อทีมรองบ่อนอย่างคิโรนาอีก 2-1 ในเกมลาลีกาเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน นั่นเท่ากับว่า 4 นัดหลังสุดที่ซานติเอโก เบอร์นาบิว พวกเขาแพ้รวดทั้งหมด

 

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเวลานี้เรอัล มาดริด กำลังตกอยู่ใต้วิกฤตครั้งใหญ่ที่ทำให้พวกเขาต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองมากกว่าที่คนอื่นจะตั้งคำถามกับพวกเขาว่า ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นที่เบอร์นาบิวกันแน่

 

เพราะพวกเขาไม่มียอดมนุษย์ที่ชื่อ คริสเตียโน โรนัลโด คอยแบกทีมอีกแล้ว เพราะพวกเขาไม่มีโค้ชที่มีบารมีอย่าง ซีเนดีน ซีดาน หรือเพราะการบริหารงานที่ย่ำแย่ของ ฟลอเรนติโน เปเรซ

 

หรือเพราะถูกทุกข้อ จึงทำให้ราชันชุดขาวกลายสภาพเป็น ‘ราชันชุดขาด’ แบบนี้

 

มาหาเหตุผลไปด้วยกันครับ

 

 

1,011 วันของความยิ่งใหญ่ที่จบลง

1,011 วัน หรือ 2 ปี 9 เดือน กับอีก 5 วัน นับจากชัยชนะเหนือคู่ปรับร่วมเมืองในเกม ‘มาดริดดาร์บี’ ที่สนามซานซีโร ในศึกนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก คือระยะเวลาที่เรอัล มาดริด ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนด้วยการเป็นสโมสรแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์รายการนี้ติดต่อกันถึง 3 สมัย (นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงรายการเป็นแชมเปียนส์ลีกเมื่อปี 1992)

 

ตลอดระยะเวลาดังกล่าว หรือหากจะนับย้อนกลับไปอีกใน 5 ปีหลัง เรอัล มาดริด สามารถคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 4 สมัย เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นทีมที่เก่ง​ แกร่ง และเก๋าที่สุดในรายการนี้

 

แต่ในเกมล่าสุด พวกเขาหมดสภาพอย่างสิ้นเชิงเมื่อถูกทีมที่เต็มไปด้วยดาวรุ่งอย่างอาแจกซ์สามารถบุกมา ‘สอนบอล’ ได้ถึงเบอร์นาบิว ทั้งๆ ที่ก่อนลงสนามแทบไม่มีใครคิดว่าเรอัล มาดริด ผู้ยิ่งใหญ่จะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้

 

พวกเขาถูกขุนพลอายุน้อยของอาแจกซ์ซึ่งลงเล่นอย่างห้าวหาญไล่ต้อนด้วยรูปเกมที่ปราดเปรียว รวดเร็ว แม่นยำ ว่องไว และเต็มไปด้วยการเล่นที่เหนือชั้น เหนือเสียจนพวกเขาจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน และต่อให้พยายามที่จะโถมเกมบุกมากเท่าไรก็ไม่เป็นผล

 

อาแจกซ์ในวันนี้ชวนให้คิดถึงรุ่นพ่อที่เคยสร้างชื่อเอาไว้ในเกมนัดชิงชนะเลิศเมื่อปี 1995 ที่พวกเขาช็อกโลกด้วยการล้มทีมที่ดีที่สุดของโลกในเวลานั้นอย่างเอซี มิลาน ด้วยขุนพลดาวรุ่งเต็มทีม โดยมีรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์อย่าง แดนนี่ บลินด์ คุมเกมรับ และยารี ลิตมาเนน จอมทัพชาวฟินแลนด์บัญชาเกมในแนวรุก

 

 

ในเกมที่ซานติเอโก เบอร์นาบิว ที่เพิ่งผ่านไป นอกจากนักเตะวัยห้าวทั้งหลายแล้ว พวกเขาก็มีรุ่นพี่อย่าง ดาเลย์ บลินด์ (ซึ่งเป็นลูกชายของ แดนนี บลินด์) และจอมทัพอย่าง ดูซาน ทาดิช ซึ่งได้จารึกชื่อของเขาเอาไว้ให้เป็นตำนานด้วยผลงานการเล่นที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติในระดับที่แม้แต่นิตยสาร France Football หรือ L’Équipe สำนักข่าวฝรั่งเศส ยังพร้อมใจมอบคะแนนความสามารถให้ในระดับ 10/10

 

ขณะที่ แฟรงกี เดอ ยอง ว่าที่นักเตะคนใหม่ที่บาร์เซโลนาก็สร้างรอยช้ำให้มาดริดิสตามากขึ้นเมื่อคุมเกมแดนกลางได้อย่างหมดจด สู้กับนักเตะอย่าง ลูกา โมดริช และโทนี โครส ได้อย่างสบาย

 

ยิ่งมาดริดขาดกัปตันทีมอย่าง เซร์คิโอ รามอส ที่จ่ายค่าโง่ราคาแพงเมื่อไปเรียกใบเหลืองให้ตัวเองในเกมนัดแรกที่บุกไปเอาชนะอาแจกซ์ที่โยฮัน ครัฟฟ์ อารีนา 2-1 เพื่อหวังจะล้างบาปสีเหลืองที่ติดตัวเอาไว้ ด้วยมั่นใจว่าทีมจะสามารถผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้อย่างสบาย ก็แทบไม่มีใครที่จะช่วยหยุดยั้งพลังรุกที่สดใหม่ของอาแจกซ์ได้

 

เพียงแต่ก็เป็นเรื่องที่ตอบได้ยากว่าหากรามอสอยู่ในสนาม เขาจะสามารถช่วยทีมได้แค่ไหน เพราะเรอัล มาดริด แทบไม่เหลือสภาพ และสัญญาณอันตรายนั้นไม่ใช่เพิ่งปรากฏ

 

เมื่อ 113 วันที่แล้วพวกเขาก็เพิ่งแพ้ซีเอสเคเอ มอสโก ที่เบอร์นาบิวในเกมรอบแบ่งกลุ่มด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 3-0 และเป็นผลงานที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร

 

เกมรับที่เปราะบาง แดนกลางที่เชื่องช้า แนวรุกที่ไร้ประสิทธิภาพ และการขาดแคลนผู้นำที่สามารถทำได้มากกว่าแค่ปลุกเร้าทีมในแบบที่รามอสทำคือความจริงที่เห็นและเป็นอยู่

 

และความจริงที่เหนือกว่านั้นคือความตกต่ำที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสัจธรรม เพราะไม่มีใครจะชนะได้ตลอดกาล และพวกเขาก็ยิ่งใหญ่ในน่านฟ้ายุโรปมานานเกินไป

 

 

ไม่มีโรนัลโด ไม่มีแชมเปียนส์ลีก

ครั้งสุดท้ายที่เรอัล มาดริด ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายแชมเปียนส์ลีก ต้องย้อนกลับไปไกลถึงปี 2010 หรือเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกที่ คริสเตียโน โรนัลโด ย้ายมาสวมชุดขาวอย่างเป็นทางการด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติโลกในเวลานั้น

 

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เรอัล มาดริด สามารถเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้ทุกปี และอย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่า 4 จาก 5 ปีหลังสุด แชมป์ตกเป็นของพวกเขา

 

แต่ในฤดูกาลนี้ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกที่พวกเขาไม่มีโรนัลโด ‘โลส บลังโกส’ ก็กลับมาตกรอบเดิมอีกครั้ง ซึ่งปฏิเสธได้ยากว่าการไม่มีซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกสอยู่ในทีมจะไม่ส่งผลอะไรเลย

 

ในทางตรงกันข้าม การขาดหายของโรนัลโดคือช่องโหว่ที่ไม่มีวันจะถมได้เต็ม เพราะสิ่งที่ CR7 มอบให้แก่เรอัล มาดริด นั้นมากจนไม่สามารถประเมินค่าได้

 

เฉพาะในรายการแชมเปียนส์​ลีกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2015-16 ฤดูกาลของจุดเริ่มต้นในการครองแชมป์ติดต่อกัน 3 สมัย โรนัลโดคือคนที่ทำประตูให้กับทีมมากที่สุดถึง 43 ประตู

 

43 ประตูในระยะเวลาแค่ 3 ฤดูกาล!

 

มันเป็นจำนวนประตูที่มากเกินจะจินตนาการ และมากกว่าที่สตาร์ในแนวรุกคนอื่นๆ ในทีมยิงรวมกันเสียอีก โดยคนที่ยิงได้รองลงมาคือ คาริม เบนเซมา ที่ทำได้ 18 ประตู ต่อด้วย แกเร็ธ เบล 8 ประตู และมาร์โก อเซนซิโอ 6 ประตู ทั้งหมดนี้รวมกันได้แค่ 32 ประตู

 

โดยเฉพาะเบลที่ถูกคาดหวังว่าจะก้าวขึ้นมาแทนที่เมื่อไม่มีโรนัลโด แต่ผลสุดท้ายคือการที่เขากลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานได้ย่ำแย่ที่สุด และมีปัญหากับทั้งโค้ช เพื่อนร่วมทีม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแฟนบอลที่ชิงชังเขาอย่างชัดเจน เหล่ามาดริดิสตารักอิสโกมากกว่าปีกชาวเวลส์ และความรักที่ไม่เท่ากันนั้นทำร้ายเบลอย่างร้ายกาจ

 

ต่อให้นับรวมทั้งหมดทุกคนคือ มาร์เซโล, คาเซมิโร (คนละ 4 ประตู), รามอส, อัลบาโร โมราตา และลูคัส บาสเกซ (คนละ 3 ประตู) ก็ได้แค่ 49 ประตูเท่านั้น เรียกว่าโรนัลโดคนเดียวก็ยิงได้เกือบเท่าคนอื่นๆ ทั้งทีมแล้ว

 

มันจึงเป็นคำถามที่น่าสนใจว่าตกลงแล้วความสำเร็จที่น่ามหัศจรรย์ของเรอัล มาดริด นั้นเป็นของพวกเขาจริง

 

หรือมันเกิดขึ้นเพราะนักฟุตบอลที่มหัศจรรย์อย่างโรนัลโด

 

 

ซีดานผู้มองเห็นภาพอนาคต

อย่างไรก็ดี นอกจากโรนัลโดแล้ว อีกคนที่ได้รับการชื่นชมอย่างมากในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่หลายปีที่ผ่านมาคือ ซีเนดีน ซีดาน ตำนานนักเตะที่ผันตัวเองมารับงานโค้ช และพามาดริดคว้าแชมป์ได้อย่างมากมาย โดยเฉพาะแชมเปียนส์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน

 

แต่ก็เป็นซีดานอีกเช่นกันที่ตัดสินใจทิ้งทีมทันทีหลังพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปด้วยการสยบทีมที่กำลังร้อนแรงอย่างลิเวอร์พูลในนัดชิงชนะเลิศที่กรุงเคียฟเมื่อปีกลาย

 

การตัดสินใจของตำนานชาวฝรั่งเศสเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจในเวลานั้น มีการมองว่าบางทีซีดานอาจจะถึงจุดอิ่มตัวหลังจากที่เข้ารับตำแหน่งและงานกอบกู้ทีมเมื่อต้นปี 2016 ต่อจาก ราฟาเอล เบนิเตซ ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากผู้เล่นและแฟนบอล

 

แต่ในความจริงแล้วซีดานมองเห็นถึงปัญหาภายในทีมที่มีมานานซึ่งเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่ไฟได้ติดสายชนวนแล้ว และเหลือเวลาไม่นานทุกอย่างก็จะระเบิดออก

 

ตามรายงานจาก Marca สำนักข่าวในสเปน เปิดเผยว่า​ซีดานได้พยายามที่จะเตือน ฟลอเรนติโน เปเรซ ประธานสโมสรแล้วว่าเขาไม่พร้อมที่จะเป็นผู้นำในทีมที่ไม่ได้รับการปรับปรุงเสริมความแข็งแกร่งของทีมอย่างจริงจัง หลังจากที่เริ่มมีสัญญาณของความตกต่ำมาตั้งแต่ในฤดูกาล 2017-18

 

แต่คำเตือนนั้นไม่ได้รับความสนใจนัก สุดท้ายเมื่อสร้างตำนานให้ตัวเองได้ ซีดานก็ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างที่เบอร์นาบิวเอาไว้เบื้องหลังให้เหลือความทรงจำที่ดีแก่แฟนบอล และปล่อยให้เรอัล มาดริด เผชิญกับปัญหาใหญ่ที่พวกเขาไม่ได้เตรียมใจจะรับมือ

 

การจากลาของซีดานทำให้เปเรซต้องรีบหาตัวตายตัวแทน และพวกเขาเลือก ยูเลน โลเปเตกี ซึ่งเวลานั้นเป็นโค้ชทีมชาติสเปน เพียงแต่ไม่ว่าจะด้วยความประมาท ความไม่มีมารยาท ความผยอง หรืออะไรก็ตาม การประกาศข่าวเรื่องโลเปเตกีจะมารับงานต่อจากซีดานเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในช่วงก่อนฟุตบอลโลก 2018

 

ข่าวดังกล่าวทำให้โลเปเตกีถูกปลดจากการเป็นโค้ชทีมชาติสเปนทันที และกลายเป็นรอยด่างพร้อยติดตัวเขา ขณะที่เมื่อมาเริ่มงานในเบอร์นาบิว เขาก็พบว่าเรอัล มาดริด ทีมชุดนี้ที่ไม่มีคนอย่างโรนัลโดคอยแบกรับทีมไว้นั้นเป็นทีมที่แตกร้าว

 

เมื่อไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งหรือแม้แต่การเอาชนะใจนักเตะและแฟนบอลได้ รวมกับตราบาปจากทีมชาติสเปน เพียงไม่นานเขาก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไป โดยเปเรซแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการมอบตำแหน่งให้กับ ซานติอาโก โซลารี โค้ชทีมเรอัล มาดริด บี ซึ่งเป็น ‘สูตร’ เดียวกับที่ใช้กับซีดานแล้วได้ผล

 

แรกๆ นั้นเหมือนทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น แต่สุดท้ายเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าโซลารีไม่ใช่ซีดาน หรือความจริงอีกด้านคือเรอัล มาดริด ทีมชุดนี้ที่ไม่มีโรนัลโดนั้นไม่ต่างอะไรจากแค่ทีมฟุตบอลระดับท็อปธรรมดาๆ ไม่ได้มีความพิเศษหรืออะไรที่เหนือกว่าคู่แข่งอีก

 

 

กาลาคติกอสที่ดับแสง

ทุกปัญหาย่อมมีสาเหตุ และสาเหตุในความตกต่ำของเรอัล มาดริด ในเวลานี้เกิดจากการบริหารที่ผิดพลาดของเปเรซ

 

ที่มองเห็นได้ง่ายที่สุดคือเรื่องที่เขาที่ไม่ซื่อตรงกับโรนัลโดในเรื่องการต่อสัญญาฉบับใหม่ ทำให้ซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกสตัดสินใจที่จะทิ้งทีมเอาไว้เบื้องหลัง และเลือกย้ายไปหาความท้าทายใหม่กับยูเวนตุส ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือเขาได้เปลี่ยนทีมเบียงโคเนรีให้กลายเป็นสุดยอดทีมในอีกระดับ โดยเวลานี้ยังไม่แพ้ใครเลยแม้แต่เกมเดียวในเซเรีย อา

 

เช่นกันกับการที่ไม่สนใจการเตือนจากซีดาน ซึ่งความจริงแล้วเป็นหนึ่งในคนสนิทของเขาว่าทีมมีปัญหาและจำเป็นจะต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขเป็นการด่วน โดยเฉพาะหากไม่มีโรนัลโดอยู่กับทีมอีกต่อไป แต่เปเรซก็ไม่ได้ใส่ใจมากพอ สุดท้ายซีดานก็ตัดใจทิ้งทีมไป

 

หนึ่งในเรื่องที่แฟนบอลไม่เข้าใจคือทำไมเปเรซจึงทิ้งนโยบาย ‘กาลาคติกอส’ ที่เป็นไม้ตายของเขาและเรอัล มาดริด ไป

 

ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเปเรซคือผู้ให้กำเนิดนโยบาย ‘กาลาคติกอส’ หรือเหล่านักรบดวงดาว ที่หมายถึงการคว้าตัวนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดของโลกเข้ามาเสริมทีมให้ได้ต่อเนื่องทุกปีหรือเกือบทุกปี และเป็นหนึ่งในนโยบายที่หวือหวาและทำให้เรอัล มาดริด กลับมาเป็นสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่และมีมูลค่าที่มากที่สุดในโลก

 

เรอัล มาดริด ไม่เคยขาดแคลนซูเปอร์สตาร์ ไม่ว่าจะเป็น หลุยส์ ฟิโก, ซีดาน, โรนัลโด, เดวิด เบ็คแฮม เรื่อยมาจนถึงโรนัลโดและเบล แต่นับจากปี 2014 เป็นต้นมาก็ไม่มีซูเปอร์สตาร์ในระดับนี้ที่เก็บข้าวของเข้ามาสู่เบอร์นาบิวอีก

 

กิลเยม บาลาเก นักวิเคราะห์ฟุตบอลชาวสเปนชื่อดัง มองหนึ่งในเหตุผลสำคัญคือการที่ตลาดนักฟุตบอลในปัจจุบันมีการแข่งขันกันรุนแรงมาก เรอัล มาดริด ไม่ใช่ทีมเดียวที่มีอำนาจต่อรองเหนือสโมสรอื่น การที่ทีมอย่างปารีส แซงต์ แชร์กแมง และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยกระดับขึ้นมาจนกลายเป็นทีมในชนชั้น Elite เหมือนกัน ทำให้นักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์มีทางเลือกที่มากขึ้น

 

 

และเมื่อไม่มีซูเปอร์สตาร์เข้ามาเสริมทีม ทำให้ทุกปีที่ผ่านไปเรอัล มาดริด มีทีมที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ สตาร์ที่สั่งสมไว้ก็ถูกใช้งานมายาวนานหลายปีจนประกายแสงที่เคยเจิดจ้าก็เริ่มค่อยๆ ริบหรี่ลงอย่างช้าๆ

 

จนมาถึงสิ้นแสงสุดท้ายในเกมที่พ่ายอาแจกซ์แบบสิ้นสภาพที่ถือเป็นการปิดยุคทองอย่างเป็นทางการ

 

หลังจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคือเปเรซจะกอบกู้ทีมได้อย่างไร เขาจะยังมีแรงกายและแรงใจเหลือมากพอที่จะชุบชีวิตชุดสีขาวที่เคยสง่างามตัวนี้กลับมาได้หรือไม่

 

มีหลายสิ่งเหลือเกินที่ต้องจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการเฟ้นหาโค้ชคนใหม่ที่ฝีมือดีมากพอที่จะพาทีมกลับมาในร่องในรอยและก้าวเดินต่อไปได้ รวมถึงการหาใครสักคนหรือมากกว่านั้นที่พอจะทดแทนความเสียหายจากการที่ไม่มีสุดยอดนักเตะอย่าง​โรนัลโดอยู่ในทีม

 

หากเป็นก่อนนี้ ในสถานการณ์แบบนี้เราย่อมคาดหวังว่าจะได้เห็นซูเปอร์สตาร์ตบเท้าเข้าสู่เบอร์นาบิวมากกว่า 1 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นผมได้ยินจากปากของคนวงในฟุตบอลสเปนว่าคือ เอเดน อาซาร์ แต่ก็มีคำถามว่าเชลซีจะปล่อยสตาร์เบลเยียมหรือไม่ หลังถูกลงโทษแบนห้ามซื้อขาย

 

เนย์มาร์ เป็นอีกหนึ่งชื่อที่เป็นข่าวมาโดยตลอด รวมถึง คีเลียน เอ็มบัปเป้

 

แต่เรอัล มาดริด ณ เข็มนาฬิกาเดินไปนี้จะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เหมือนในวันวานหรือไม่

 

ซินญอร์เปเรซจะเป็นคนที่ให้คำตอบสุดท้ายครับ

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

FYI
  • ความพ่ายแพ้ 4-1 ต่ออาแจกซ์เป็นความพ่ายแพ้ในบ้านที่ย่อยยับที่สุดของเรอัล มาดริด
  • ในฤดูกาลนี้ เรอัล มาดริด แพ้ไปแล้ว 14 นัด เป็นจำนวนที่เท่ากับที่ทีมในยุคของซีดานแพ้ใน 2 ฤดูกาลหลังสุด นั่นหมายถึงทีมยังมีโอกาสจะทำลายสถิติแพ้เกิน 14 นัด
  • เรอัล มาดริด ไม่เคยแพ้ในบ้าน 4 นัดติดต่อกันนับตั้งแต่ยุคที่ คาร์ลอส กีรอซ คุมทีมเมื่อปี 2004 และอีกครั้งที่เคยเจอชะตากรรมแบบนี้คือเมื่อปี 1995
  • เรอัล มาดริด กลายเป็นทีมแรกนับตั้งแต่ที่เชลซีคว้าแชมป์ปาฏิหาริย์เมื่อฤดูกาล 2012-13 ไม่เคยมีแชมป์เก่าทีมใดที่ไม่ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย (ปีนั้นเชลซีตกรอบแบ่งกลุ่ม)
  • อาแจกซ์ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปีนับจากฤดูกาล 1996-97
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X