ย้อนกลับไปในปี 2013 คดีการหายตัวไปของ เอลิซ่า แลม นักศึกษาสาวชาวแคนาดา คือหนึ่งในคดีปริศนาที่ได้รับการกล่าวขวัญไปทั่วโลก โดยเฉพาะคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดภายในลิฟต์ของโรงแรมเซซิลที่เธอเข้าพัก ซึ่งถือเป็นหลักฐานชิ้นสุดท้ายก่อนที่เธอจะหายตัวไป และถูกโลกออนไลน์นำไปตีความและสร้างทฤษฎีสมคบคิดมากมายเพื่อหาคำตอบว่าเธอหายตัวไปได้อย่างไร ก่อนที่เธอจะถูกพบว่าเสียชีวิตภายในแท็งก์น้ำของโรงแรมในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2013 โดยไม่มีใครทราบสาเหตุว่าเธอไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร
ซึ่งตอนนี้ โจ เบอร์ลินเจอร์ ผู้กำกับจากซีรีส์สารคดีเรื่องเยี่ยมจาก Netflix อย่าง The Ted Bundy Tapes (2019) จะขอพาผู้ชมไปร่วมไขทุกปริศนาในคดีการหายตัวไปของเอลิซ่าผ่านซีรีส์สารคดีเรื่อง Crime Scene: The Vanishing at the Cecil Hotel
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าสารคดีความยาวเพียง 4 ตอนจะพาเราไปไกลเกินกว่าการหาความจริงของคดีปริศนาในครั้งนี้
เอลิซ่า แลม นักศึกษาสาวชาวแคนาดา
สำหรับใครที่ไม่เคยติดตามคดีการหายตัวไปของเอลิซ่ามาก่อน ไม่ต้องกังวลว่าจะดูไม่เข้าใจ เพราะสารคดีจะพาเราไปทำความรู้จักหญิงสาวที่ชื่อ เอลิซ่า แลม อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ก่อนเกิดคดี ไปจนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของโรงแรมเซซิลซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ
โดยสารคดีจะแบ่งการเล่าเรื่องออกเป็น 4 ช่วงใหญ่ๆ ตามจำนวนตอน โดยเริ่มจากการพาผู้ชมไปทำความรู้จักพื้นเพของเอลิซ่า ไล่ตั้งแต่ประวัติการศึกษา โซเชียลมีเดียที่เธอใช้ ไปจนถึงเหตุผลที่เธอออกเดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองลอสแอนเจลิส
ก่อนที่จะพาเราไปติดตามเรื่องราวหลังการหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาของเอลิซ่าในวันที่ 31 มกราคม 2013 ผ่านบทสัมภาษณ์ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งอดีตทีมสืบสวนประจำกรมตำรวจลอสแอนเจลิส ผู้รับผิดชอบคดีของเอลิซา, อดีตผู้จัดการโรงแรมเซซิล, นักนิติพยาธิวิทยา, จิตแพทย์ รวมถึงนักประวัติศาสตร์ย่านสคิดโรว์ ที่มาอธิบายความเป็นมาของโรงแรมเซซิลและย่านสคิดโรว์ที่มักจะเกิดคดีฆาตกรรมอยู่บ่อยครั้ง
อีกด้านหนึ่ง สารคดีจะพาผู้ชมไปติดตามการไขคดีของเหล่ายูทูเบอร์และนักสืบจากเว็บสลูธ ที่นำคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมมาตีความและสร้างทฤษฎีต่างๆ มากมาย บ้างก็ว่าเธอกำลังถูกฆาตกรตามล่า หรือเธออาจจะกำลังเผชิญกับสิ่งลี้ลับบางอย่างที่ไม่มีใครมองเห็น
ก่อนที่ในช่วงท้าย สารคดีจะเฉลยบทสรุปทั้งหมดของคดีผ่านคำวินิจฉัยของกรมตำรวจลอสแอนเจลิส
ซึ่งเราค่อนข้างชื่นชอบการนำเสนอของสารคดีเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว เนื่องจากผู้กำกับค่อนข้างให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลและข้อสันนิษฐานต่างๆ ของคดี เพื่อให้ผู้ชมได้ร่วมตั้งคำถาม วิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และติดตามเรื่องราวการสืบสวนอย่างครบถ้วนทุกมิติ จึงเปรียบเสมือนว่าผู้ชมกำลังร่วมตามหาความจริงของคดีนี้ไปด้วยกัน
อีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกทึ่งมากๆ คือพาร์ตการสืบสวนของเหล่ายูทูเบอร์และนักสืบจากเว็บสลูธที่ไปไกลเกินกว่าที่เราจินตนาการไว้มาก ซึ่งเราอยากให้ทุกคนได้ชมด้วยตัวเอง เพราะมันคือหัวใจสำคัญของเรื่องที่ทำให้ Crime Scene: The Vanishing at the Cecil Hotel ไม่ได้เป็นเพียงแค่สารคดีที่พาผู้ชมไปร่วมไขคดีปริศนาเพียงอย่างเดียว
แต่มันยังได้ทิ้งตะกอนบางอย่างให้ผู้ชมร่วมกันขบคิดและตั้งคำถามถึงพลังอำนาจของ ‘โซเชียลมีเดีย’ ที่อยู่ในมือของเราทุกคน และผลกระทบที่เราไม่อาจคาดคิด
ไปจนถึงการสำรวจเรื่องราวภายในจิตใจของผู้คนที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ ที่กลายเป็นภาพสะท้อนความต้องการของมนุษย์ที่พยายามตามหา ‘คนผิด’ เพื่อพิสูจน์ว่าความคิดของตัวเองนั้น ‘ถูกต้อง’
รับชมตัวอย่างสารคดีได้ที่นี่
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์