ความคืบหน้าหลังจากช่วงเช้าวันนี้ (18 มิถุนายน) พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้เดินทางมาสอบปากคำผู้ต้องหาซึ่งเป็นลูกเรือบนเรือขนน้ำมันเถื่อนของกลาง 8 คนด้วยตนเอง โดยหลังสอบปากคำเสร็จ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ เปิดเผยว่า รู้สึกพอใจกับการสอบปากคำในครั้งนี้
เพราะผู้ต้องหาให้การที่เป็นประโยชน์ ยอมรับว่าผู้ต้องหาบางส่วนรู้สึกเกรงกลัวอิทธิพลของ โจ้ ปัตตานี พ่อค้าน้ำมันเถื่อน จึงไม่กล้าให้การเพราะกลัวว่าครอบครัวจะได้รับอันตราย ซึ่ง พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ระบุว่า ผู้บงการหรือเจ้าของเรือมีอิทธิพลจริง ซึ่งก็คือบุคคลเดียวกับที่สื่อมีการนำเสนอมาตลอด
ทั้งนี้ผู้ต้องหา 3 ใน 8 คนเป็นไต้ก๋งเรือ ในที่นี้มี 1 คนที่ได้รับคำสั่งจากเจ้าของเรือให้นำเรือออกจากฝั่งท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบในวันที่ 11 มิถุนายน เพื่อเอาน้ำมันไปขายกลางทะเลให้กับเรือขนาดใหญ่ที่สามารถบรรจุน้ำมันได้ 1-2 ล้านลิตรซึ่งลอยอยู่กลางทะเล โดยลูกเรือ 7 คนจากเรือทั้งสามลำได้ขึ้นไปบนเรือขนาดใหญ่ด้วย ก่อนที่เรือทั้ง 3 ลำจะมุ่งหน้าไปกัมพูชาเพื่อเปลี่ยนสภาพเรือ
และมุ่งหน้าไปที่จังหวัดปัตตานี ซึ่งมีเรือ เจ.พี. เป็นเรือนำทาง เพราะเป็นเรือลำเดียวที่มีระบบนำทาง (GPS) โดยผู้ต้องหาได้นำ GPS นี้แอบซ่อนไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกจับกุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจไม่พบ
พล.ต.ต. จรูญเกียรติ กล่าวยืนยันว่า การจับกุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นการจัดฉากหรือสร้างภาพ หรือประสานกับทางผู้บงการเพื่อส่งมอบเรือคืนให้กับทางเจ้าหน้าที่
นอกจากนี้ไต้ก๋งเรือให้การรับสารภาพว่าได้รับการประสานทางโทรศัพท์ดาวเทียมกับเจ้าของเรือซึ่งเป็นบุคคลตามที่กระแสข่าวระบุว่าคือ โจ้ ปัตตานี จริง
กลุ่มผู้ต้องหามีการวางแผนมาก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่งแต่ทำไม่สำเร็จ จนกระทั่งวันที่เกิดเหตุ ผู้ต้องหาสบโอกาสจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และจากการโทรสั่งการของผู้บงการให้นำเรือออกไปโดยที่ไม่มีใครเห็น
ส่วนการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำทั้ง 4 นาย ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริตหรือไม่ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ กล่าวว่า อยู่ระหว่างการสอบสวน ซึ่งจะเสร็จภายใน 7 วัน ยอมรับว่าวงการค้าน้ำมันเถื่อนมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็นขบวนการที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง แต่ยืนยันว่าหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดเข้าไปเกี่ยวข้องหรือกระทำผิดชัดเจนจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด