วันนี้ (24 พ.ย.2568) สุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ได้เล่าถึงความท้าทายที่พบเจอตลอดช่วงการทำงานที่เครดิตบูโร ในงานสัมมนาข้อมูลเครดิต หัวข้อ ข้อมูลเครดิตพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2 ทศวรรษ โดยเปิดเผยว่า ตลอดการทำงานที่ผ่านมา มีการถกเถียงถึงความเหมาะสมของการนำประวัติชำระค่าน้ำ ค่าไฟ เข้าระบบเครดิตบูโร โดยปัญหาอยู่ที่การตีความกฎหมายว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็น ‘สินเชื่อ’ หรือไม่ แม้จะมีการผลักดันประเด็นนี้มาอย่างยาวนาน แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านเลยไป การไม่มีข้อมูลสาธารณูปโภคในระบบเครดิตบูโร ก็วกกลับมาเป็นปัญหาในการให้สินเชื่อ
เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ มีการตีความกฎหมายอย่างกว้างเกี่ยวกับคำว่า ‘เครดิต’ โดยมองว่า ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นข้อมูลเครดิต เนื่องจากเป็นการให้คนใช้ไฟฟ้าก่อนแล้วจ่ายทีหลัง ซึ่งเป็นการให้สินเชื่อรูปแบบหนึ่ง ถือเป็นข้อมูลที่ช่วยในการวิเคราะห์สินเชื่อ
“สปิริตของกฎหมายเครดิตบูโร คือ เก็บข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์สินเชื่อ รู้จักตัวตนของลูกหนี้ ดังนั้นจึงต้องยึดหลักสปิริตของกฎหมาย ไม่ตีความอย่างแคบ แต่ต้องตีความให้ทำงานได้” สุรพล กล่าว
ดังนั้นต้องเปิดโอกาสให้คนที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ได้ตีความกฎหมาย เพื่อให้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ต่อจากนี้ สามารถอยู่ได้อย่างปกติสุข
นอกจากนี้ ยังติดขัดอุปสรรคด้านระบบการเปิดเผยข้อมูล โดยปกติเมื่อประชาชนไปยื่นขอสินเชื่อในแอปพลิเคชันธนาคาร โดยให้ความยินยอมใช้ข้อมูลประวัติสาธารณูปโภคเพื่อประกอบการพิจารณาสินเชื่อ สาธารณูปโภคจะเข้ารหัสข้อมูล (encryption) ส่งต่อมาที่เครดิตบูโร ซึ่งเป็นตัวกลาง นำส่งข้อมูลแบบเข้ารหัสให้กับสถาบันการเงิน เครดิตบูโรจึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้
ทั้งนี้ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต ซึ่งมีผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเลขา ต้องผลักดันและเห็นชอบในเรื่องนี้ เพื่อให้ข้อมูลเครดิตประเทศไทยทัดเทียมสากล
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกฎหมายยังไม่ได้กำหนดให้องค์กรหรือนิติบุคคลใดต้องนำส่งข้อมูลประวัติการชำระค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าน้ำ-ค่าไฟ รวมทั้งค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ให้บริษัทข้อมูลเครดิต ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ประชาชนสามารถใช้ ประวัติการใช้และชำระค่าน้ำ-ค่าไฟ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการสมัครสินเชื่อได้ ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ
เครดิตบูโรหวัง ค้ำประกันสินเชื่อ ต่อชีวิต SME
สำหรับความคืบหน้าโครงการสนับสนุนสินเชื่อ SME สุรพล กล่าวว่าทางเครดิตบูโร ได้นำส่งข้อมูลเครดิตของ SME ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร ซึ่งมีอยู่จำนวนอยู่ 280,000 บริษัท มูลหนี้รวม 300,000-400,000 ล้านบาท เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในออกแบบกลไกการค้ำประกันสินเชื่อรูปแบบใหม่ โดยคาดว่าโครงสร้างจะมีความ simplify กว่ากลไกของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และเริ่มดำเนินการได้ในปีหน้า
ทั้งนี้รายละเอียดโครงการต้องติดตามแถลงการณ์จากทางธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติอีกที
สุรพล แสดงกังวล ต่อสถานการณ์หนี้ SME ซึ่งเดิมทีเป็นกลุ่มเปราะบางอยู่แล้ว ประกอบกับความเข้มงวดการพิจารณาให้สินเชื่อของสถาบันการเงินในปัจจุบัน จึงต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะกลุ่ม Super Micro ที่หนี้เสีย (NPL) มีสัดส่วนสูงมากถึง 14.81% ของสินเชื่อรวม สะท้อนว่ายิ่งเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก ยิ่งมีขนาดหนี้เสียสูง หากไม่มีมาตรการออกมาช่วยเหลืออย่างจริงจัง จะยิ่งฉุดรั้งให้สถานการณ์หนี้ SME แย่ลง


