‘เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น’ พร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมสร้างประวัติศาสตร์ขาย IPO มูลค่าสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ โชว์กำไรไตรมาส 3/62 ที่ 1.38 พันล้านบาท รวม 9 เดือน ปี 2562 กำไร 4.6 พันล้านบาท ลดลง 48% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังต้นทุนขายและบริการเพิ่มขึ้น ด้านโบรกเกอร์ยก CRC เป็นผู้นำค้าปลีกที่หลากหลาย
CRC พร้อมเทรดวันแรก
แมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดพาณิชย์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า ‘CRC’ ในวันที่ 20 ก.พ. 2563 ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 253,302 ล้านบาท
กลุ่ม CRC เป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายประเภทผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย (Multi-format and Multi-category) และเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบ Omni-Channel ในประเทศไทย กลุ่ม CRC เป็นผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นอันดับสามของประเทศเวียดนาม และเป็นผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี โดยมีร้านค้าในรูปแบบต่างๆ ในประเทศไทยจำนวน 1,922 ร้านค้า ครอบคลุม 51 จังหวัด และ 133 ร้านค้าใน 40 จังหวัดของประเทศเวียดนาม และ 9 ห้างสรรพสินค้า ใน 8 เมืองของประเทศอิตาลี
CRC ประกอบธุรกิจโดยการลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) ซึ่งประกอบธุรกิจค้าปลีก โดยแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มแฟชั่น ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน และรีนาเชนเต (2) กลุ่มฮาร์ดไลน์ ซึ่งจำหน่ายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้านภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่างๆ เช่น ไทวัสดุ และเพาเวอร์บาย และ (3) กลุ่มอาหาร ซึ่งจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าที่จำหน่ายทั่วไปในร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่างๆ เช่น ท็อปส์, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และบิ๊กซี เวียดนาม
ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2562 CRC มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 4,700 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรกจำนวน 1,691 ล้านหุ้น (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ในราคาหุ้นละ 42 บาท คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวม 71,022 ล้านบาท CRC มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วทั้งสิ้น 6,031 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 253,302 ล้านบาท (รวมมูลค่าหุ้นที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของ ROBINS ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์) โดยมีที่ปรึกษาทางการเงิน ได้แก่ บมจ. หลักทรัพย์ บัวหลวง และ บมจ. หลักทรัพย์ ภัทร และมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ 3 ราย ได้แก่ บมจ. หลักทรัพย์ บัวหลวง, บมจ. หลักทรัพย์ ภัทร และ บมจ. กสิกรไทย พร้อมด้วยผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 3 ราย ได้แก่ บมจ. หลักทรัพย์ กรุงศรี, บล. ไทยพาณิชย์ และ บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
สร้างประวัติศาสตร์ขาย IPO มูลค่าสูงสุด
ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CRC เปิดเผยว่า CRC มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่จากความสำเร็จในการเสนอขายหุ้น IPO ที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดของตลาดหลักทรัพย์ฯ เท่าที่เคยมีมา รวมทั้งยังเป็นหุ้น IPO ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีมูลค่าเสนอขายสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีต่อศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของผู้นำค้าปลีกไทยในระดับโลก โดย CRC มีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการขยายกิจการ รวมทั้งปรับปรุงสาขาต่างๆ ของธุรกิจค้าปลีกในเครือ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมค้าปลีกไทย และส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม พร้อมกับการเป็นหุ้นพื้นฐานดีเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัดในระดับโลกอย่างยั่งยืน
CRC มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO 3 อันดับแรก ได้แก่ HCDS ถือหุ้นรวม 35.1% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว Morgan Stanley & Co. International PLC ถือหุ้นรวม 5.8% และ Hawthorn Resources Limited ถือหุ้นรวม 4.2%
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวมหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย ทั้งนี้ อาจพิจารณาจ่ายเงินปันผลแตกต่างไปจากนโยบายที่กำหนดไว้ได้ ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ สภาพคล่องทางการเงิน และความจำเป็นในการใช้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อบริหารกิจการ และแผนการขยายธุรกิจในอนาคต รวมถึงภาวะเศรษฐกิจ
CRC เข้าซื้อขายในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจ พาณิชย์ มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนและชำระแล้ว 6,031,000,000 หุ้น ราคาพาร์ 1.00 บาทต่อหุ้น ในราคาเสนอขายหุ้นละ 42 บาท แบ่งเป็น 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 1,331,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 22.1 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ (ไม่รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัทฯ ในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) (2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Hawthorn Resources Limited จำนวน 360,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 6.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินให้แก่ผู้ลงทุนจำนวน 169,100,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 10.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายในครั้งนี้ ดังนั้น ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งหมดในครั้งนี้แล้ว บริษัทฯ จะมีทุนชำระแล้วเป็นจำนวนไม่เกิน 6,200,100,000 บาท
ทั้งนี้บริษัทจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนส่วนหนึ่งเป็นค่าตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นของ ROBINS ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Share Swap) เพื่อเพิกถอน ROBINS ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนตามแผนการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจของบริษัท และการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน ซึ่งยืมจากบริษัท ห้างเซ็นทรัลดีพาทเมนท์สโตร์ จํากัด (HCDS) 169.1 ล้านหุ้น
9 เดือนปี 62 กำไร 4.6 พันล้านบาท
ปิยะ งุ่ยอัครมหาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินมหาชน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC รายงานผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 3/62 มีกำไรสุทธิ ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ จำนวน 1,385.12 ล้านบาท ลดลงจาก 4.87% ช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,456.13 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือน ปี 2562 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ จำนวน 4,652.51 ล้านบาท ลดลง 48% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9,028.52 ล้านบาท
ทั้งนี้ภาพรวม ไตรมาส 3/62 บริษัทฯ มีรายได้รวม 53,444 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,137 ล้านบาท จากไตรมาส 3/61 และมีกำไรจากการดาเนินงานต่อเนื่อง 1,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 379 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากาไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.5 ในไตรมาส 3/61 เป็นร้อยละ 3.1 ในไตรมาส 3/62 มีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นจากการรวมธุรกิจเหงียนคิมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทฯ ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2562 รายได้การให้บริการเช่าที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดพลาซ่าแห่งใหม่ได้แก่ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ สาขาชัยภูมิ และการรับรู้รายได้ค่าเช่าเต็มไตรมาสจากโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ สาขาชลบุรี รวมถึงสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขาย และการบริหารต่อรายได้รวมที่ลดลง
ส่วนงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานต่อเนื่อง 5,860 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 3.7 ลดลง 2,907 ล้านบาท เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ 8,767 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 5.7 โดยมีรายได้จากการขาย เท่ากับ 142,369 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,925 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.7 รายได้จากการให้บริการเช่า เท่ากับ 5,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 428 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 8.9 จากการให้บริการเช่าเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยกลุ่มธุรกิจที่มีรายได้เพิ่มสูงสุดคือกลุ่มแฟชั่น ตามมาด้วยกลุ่มฟู้ด และกลุ่มฮาร์ดไลน์ และรายได้จากการให้บริการ เท่ากับ 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.1 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการของบริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) และการรวมธุรกิจเหงียนคิมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทฯ
ส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับ 56,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,708 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 29.8 ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นในปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ที่ 52,635 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 29.9 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้จากส่วนงานฮาร์ดไลน์ ซึ่งส่วนงานฮาร์ดไลน์มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ากว่าส่วนงานอื่น
อย่างไรก็ตาม CRC มีค่าใช้จ่ายในการขาย เท่ากับ 43,747 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,448 ล้านบาท หรือคิดเป็นเป็นร้อยละ 8.6 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าเช่าและค่าบริการ ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงาน และค่าโฆษณาและประชาสัมพันธ์
โบรกฯ ชี้ CRC ผู้นำค้าปลีกที่หลากหลาย
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า CRC เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกที่หลากหลาย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม 1) กลุ่มแฟชั่น เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, โรบินสัน, CMC, รีนาเชนเต ประเทศอิตาลี 2) กลุ่มฮาร์ดไลน์ สินค้าตบแต่งและปรับปรุงบ้านและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ร้านไทวัสดุ เพาเวอร์บาย 3) กลุ่มอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, แฟมิลี่มาร์ท
รายได้หลักของ CRC มาจากกลุ่มอาหาร ในปี 2561 มีรายได้รวม 2.06 แสนล้านบาท เติบโต 10% YoY รายได้หลัก 44% มาจากธุรกิจอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค
ผลประกอบการปี 2561 บริษัทมีกำไร 9.5 พันล้านบาท มีระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30.8% อัตรากำไรสุทธิ 5% สัดส่วนหนี้สินต่อทุน 0.62 เท่า มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกต่อเนื่อง
CRC มีจำนวนสาขาทั้งในและต่างประเทศโดยรวม 2.1 พันสาขา เป็นสาขาในประเทศ 2 พันสาขา และเป็นสาขาในต่างประเทศ จำนวน 70 สาขา เป็นสาขาในประเทศเวียดนามและอิตาลี โดยมีพื้นที่ขายโดยรวม 2.9 ล้านตารางเมตร เติบโตจากปี 2559 ที่ 2.7 ล้านตารางเมตร
วัตถุประสงค์ของการปรับโครงสร้าง CRC เพื่อรวมธุรกิจค้าปลีกต่างๆ ของ CRC ในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี ให้อยู่ภายใต้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพียงบริษัทเดียว เพื่อให้ผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อการขยายธุรกิจห้างสรรพสินค้าเกิดขึ้นภายใต้การขยายธุรกิจบริษัทเดียว และ สร้างบริษัทแกนนำในการดำเนินธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัลที่มีสถานะการเงินแข็งแกร่ง และเป็นช่องทางให้ธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัล สามารถขยายไปยังตลาดอื่นๆได้หลากหลายและสมบูรณ์
เรียบเรียง: ประน้อม บุญร่วม
ติดตามข่าวสารการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่: www.efinancethai.com
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์