วันนี้ (26 พฤศจิกายน) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี หลังนอก ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ครั้งที่ 19/2564 เห็นชอบปรับมาตรการควบคุมโรคสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร, ปรับจำนวนวันกักตัว หรือพำนักในพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว เป็น 5, 10, 14 วัน, ปรับการตรวจหาเชื้อหลังการเข้าประเทศ สำหรับ Test and Go เป็น ATK, ปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร พื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด 0 จังหวัด, ขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ครั้งที่ 15 ต่อไปอีก 2 เดือน
ต่อมา ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้เริ่มเปิดประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ได้มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยนิด้าโพล พบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจต่อมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นการให้ความสำคัญระหว่างความอยู่รอดทางเศรษฐกิจกับความปลอดภัยของสุขภาพ พบว่า ประชาชนร้อยละ 58.95 ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของสุขภาพ แม้ว่าจะต้องอยู่ในภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบาก
ผลสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนยังมีความกังวลกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด จึงต้องสร้างความเข้าใจเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่กำหนดอย่างเคร่งครัด และเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย รวมถึงการหายารักษาโควิด และเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลและเตียงรักษาผู้ป่วยในทุกกลุ่มอาการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และร่วมมือร่วมใจกันพาประเทศไทยกลับมาสู่สภาวะปกติ ธุรกิจเดินหน้า และประชาชนปลอดภัยจากโรคโควิด ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งจัดตั้ง ‘ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านการท่องเที่ยวและกีฬา’ เป็นโครงสร้างหนึ่งภายใต้ ศบค. เพื่อบูรณาการการทำงานที่เกี่ยวกับการเปิดประเทศ และแก้ไขข้อขัดข้องที่อาจจะเกิดขึ้น
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงการเปิดประเทศ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูประเทศและเศรษฐกิจ กระตุ้นพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการช่วยกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากให้สามารถประคองตัวต่อไปได้ ทั้งนี้ ขอให้ช่วยกันผลักดันและหามาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของคนไทยให้มากยิ่งขึ้น
พล.อ. ประยุทธ์ ยังขอให้ทุกหน่วยงานมีการถอดบทเรียนจากการดำเนินการและการแก้ไขปัญหา รวมถึงการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด เพื่อสร้าง Big Data เป็นฐานข้อมูลด้านสุขภาพของประเทศด้วย พร้อมสั่งการให้หาวิธีสร้างมูลค่าให้บัตรฉีดวัคซีน เพื่อให้เห็นว่าถ้าใครฉีดวัคซีนจะสามารถเดินทางได้ทั่วไทย แต่ถ้าไม่ฉีดต้องอยู่บ้าน โดยรณรงค์ให้ประชาชนมารับวัคซีนโควิด รวมทั้งให้มีการสื่อสารเรื่องจำนวนเตียงรักษาที่มีเพียงพอ ขณะนี้มีการใช้เตียงเพียง 1 ใน 3 และผู้ติดเชื้อมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขหาสาเหตุของการเสียชีวิต เน้นให้ยารักษาอย่างทั่วถึงเพื่อลดจำนวนผู้เสียชีวิต รวมทั้งสื่อสารให้สถานประกอบการเร่งทำ COVID-FREE Setting ในการเตรียมพร้อมเปิดสถานประกอบการ โดยเฉพาะกิจการสถานบันเทิง ที่ผู้ประกอบการต้องฉีดวัคซีน และมีการตรวจ ATK อย่างจริงจัง เพื่อคู่ขนานไปกับการประเมินสถานการณ์ประกอบการพิจารณาเปิดให้บริการ
ต่อมา นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ได้แถลงมติที่ประชุมสำคัญ ดังนี้
ศบค. เห็นชอบการปรับมาตรการควบคุมโรค สำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร หรือเปิดประเทศในระยะที่ 2 ตั้งแต่ 16 ธันวาคม 2564 ดังนี้
- ปรับจำนวนวันกักตัว หรือพำนักในพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว เป็น ทุกช่องทาง กรณีได้รับวัคซีนครบ 5 วัน, ไม่ได้รับวัคซีน 10 วัน, เข้ามาแบบผิดกฎหมาย 14 วัน ขึ้นกับกรณี
- ปรับการตรวจหาเชื้อหลังการเข้าประเทศ สำหรับ Test and Go เป็น ATK
- ไม่ต้องตรวจหาเชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ก่อนเข้าราชอาณาจักร
- มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จัดทำระบบการตรวจหาเชื้อโดย ATK สำหรับประเภท Test and Go
- สำหรับผู้เดินทางที่มีผลตรวจ หากผล RT-PCR เป็นลบภายใน 72 ชั่วโมง สามารถเดินทางเข้าไทยได้เลย หากผลตรวจด้วยชุดตรวจแบบรู้ผลเร็ว ATK เมื่อมาถึงประเทศได้ผลเป็นลบ
- เพิ่มการตรวจทั้งทางบกและทางเรือ โดยทางบกนำร่องที่ด่านหนองคาย เริ่ม 24 ธันวาคมนี้
- กรณีต้องการลงจากเรือให้ดำเนินการตามเกณฑ์ คือ ทุกคนต้องได้รับวัคซีนและมีการตรวจ RT-PCR 72 ชั่วโมง มีระบบลงทะเบียนหรือผ่านระบบ Thailand Pass ตรวจ RT-PCR 1 ครั้งของทุกคนบนเรือ
นอกจากนี้ยังมีการปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร และมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด ดังนี้
การปรับระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป
- พื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด 0 จังหวัด / พื้นที่ควบคุมสูงสุด 23 จังหวัด / พื้นที่ควบคุม 23 จังหวัด / พื้นที่เฝ้าระวังสูง 24 จังหวัด / พื้นที่เฝ้าระวัง 0 จังหวัด / พื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว 7 จังหวัด
- สำหรับจังหวัดที่เป็นพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว (สีฟ้า) จาก 4 เป็น 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี กระบี่ กาญจนบุรี ปทุมธานี พังงา และภูเก็ต
ทั้งนี้ มาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิดสำหรับทุกระดับพื้นที่สถานการณ์ คงใช้มาตรการตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 37) สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถาน
ศบค. ยังยืนยันตามมติเดิมเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ให้สถานบันเทิงกลับมาเปิดให้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2565 เป็นต้นไป แต่ในระหว่างนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจัดทำมาตรการป้องกันโรค
ขณะเดียวกันที่ประชุมยังรับทราบถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการและแรงงานในธุรกิจนี้ จึงเห็นว่าหากผู้ประกอบการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อได้อย่างดี ก็อาจจะกลับมาเปิดได้เร็วกว่าวันที่ 16 มกราคม
ศบค. ยังเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักรต่อไปเป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2564 ถึง 31 มกราคม 2565 เป็นครั้งที่ 15