×

ทำไมกระเป๋าแบรนด์เนมถึงแพงและราคาพุ่งขึ้นเรื่อยๆ

08.06.2022
  • LOADING...
กระเป๋าแบรนด์เนม

หากใครเดินเข้าไปที่ร้านแบรนด์เนมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Louis Vuitton, Chanel, Hermès, Dior หรือ Prada เมื่อสอบถามราคากับพนักงานหน้าร้านสำหรับกระเป๋าที่อยากได้ คำตอบที่ได้มาหลายครั้งก็อาจทำให้หงายหลังและช็อกไปตามๆ กัน เพราะราคาไม่ใช่หลักพันหรือหลักหมื่น แต่สมัยนี้ถึงหลักแสนแล้ว!

 

แต่มีเหตุผลอะไรที่กระเป๋าพวกนี้มาพร้อมราคาแบบ ‘บ้าไปแล้ว’ และทำไมถึงจะปรับราคาขึ้นทุกปีก็ยังมีคนยืนต่อแถวหน้าร้านยาวเหยียด THE STANDARD POP จะมา Cracked ให้เข้าใจกัน

 

เราจ่ายค่าอะไรบ้างเมื่อซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม

การที่เราต้องจ่ายค่ากระเป๋าแบรนด์เนมเป็นราคาหลายหมื่นหลายแสนก็เพราะหลากหลายปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป โดยหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำไมกระเป๋าแบรนด์เนมถึงราคาสูง ก็เพราะคุณกำลังจ่ายค่างานฝีมือ Craftsmanship ระดับเทพที่ทุกดีเทลการตัดเย็บต้องเพอร์เฟ็กต์ อย่างเช่นกระเป๋า Birkin ของ Hermès ที่หลายคนใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของ นิตยสาร Town & Country เผยว่ากระเป๋าหนึ่งใบใช้เวลาทำนานถึง 48 ชั่วโมง เพราะใช้ช่างแค่คนเดียวทำเท่านั้น โดยช่างที่มาทำให้จะเป็นเด็กจบใหม่ไม่ได้ แต่ต้องมีการเทรนด์ทุกขั้นตอนร่วมกันนานถึง 5 ปีกว่าจะมาทำใบจริงได้

 

หรืออีกกระเป๋าแบรนด์เนมรุ่นคลาสสิกอย่าง 2.55 ของ Chanel มีรายงานว่าช่างที่ทำต้องเทรนด์มา 5 ปีเช่นกัน และสำหรับรุ่นนี้ต้องรู้ 180 ขั้นตอนของการทำตั้งแต่ต้นจนจบ

 

ปัจจัยต่อไปก็คือวัสดุที่นำมาใช้รังสรรค์กระเป๋าแบรนด์เนมก็ถือว่ามีคุณภาพพรีเมียมที่สุด ซึ่งทางแบรนด์ต้องลงทุนเป็นเจ้าของ Supply Chain ตั้งแต่สเต็ปแรกจนถึงขายในร้าน ซึ่งแต่ละขั้นตอนมาพร้อมดีเทลมากมายและเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด อย่างเช่นเริ่มแรก แบรนด์จะเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงโคหรือเลี้ยงจระเข้ที่เอามาทำหนัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องเลี้ยงให้ถูกวิธี ก่อนที่จะลอกหนังให้ถูกวิธี นำไปฟอกต่ออย่างพิถีพิถัน และส่งต่อให้เวิร์กช็อปทำกระเป๋า ส่วนดีเทลวัสดุฮาร์ดแวร์ที่เอามาใช้และตกแต่งกระเป๋าก็ถือว่ามีราคาสูง ไม่ว่าจะเป็น ทอง เหล็ก แพลเลเดียม หรือเพชรที่เอามาประดับกระเป๋า

 

อีกปัจจัยสำคัญที่ทำไมเราต้องจ่ายราคาแพงๆ สำหรับกระเป๋าแบรนด์เนม ก็เพราะแบรนด์ต้องดูแลค่าโลจิสติกส์ ซึ่งการขนส่งกระเป๋าจากเวิร์กช็อปที่ปารีสหรือมิลานมายังร้าน ณ สยามพารากอน หรือเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ก็ต้องผ่านอะไรมากมาย เช่น ต้องเคลื่อนย้ายสินค้าในกล่องหรือแพ็กเกจจิ้งที่จะไม่ทำลายรูปทรงกระเป๋า ต้องอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม แถมพอมาถึงไทยก็ต้องมีการจ่ายภาษีอีก และสมัยนี้การจะเช่าพื้นที่ร้านในห้างสรรพสินค้าชื่อดังก็ถือว่าแพงมหาศาล และเหมือนเป็นสงครามแย่งชิงกัน ซึ่งแน่นอนเมื่อค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ราคาก็ต้องขึ้นตาม

 

ส่วนปัจจัยสุดท้ายที่เราอยากยกมาพูดก็คือ แบรนด์ต้องการเอาเงินที่ได้จากยอดขายกระเป๋าเพื่อไปใช้ในงบการตลาด และทำให้เราอยากซื้อรุ่นต่อๆ ไปในอนาคตอีก! อย่างเช่นแต่ละแบรนด์ก็จะใช้งบมหาศาลในการจัดแฟชั่นโชว์ทั่วโลก จัดอีเวนต์ In-store ให้ลูกค้า Top-Spender ซื้อปกนิตยสาร ทำโฆษณา TVC จ่ายค่าจ้างแบรนด์แอมบาสเดอร์ ส่งกระเป๋าและจ่ายเงินให้อินฟลูเอ็นเซอร์ถ่ายกระเป๋าลงโซเชียลมีเดีย ซึ่งงบพวกนี้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี

 

แล้วทำไมราคากระเป๋าแบรนด์เนมต้องขึ้นตลอดเวลา

หลายครั้งลักชัวรีแบรนด์จะชอบใช้เหตุผลว่า ราคากระเป๋าเพิ่มขึ้นก็เพราะปัจจัยเงินเฟ้อและราคาค่าจ้างที่สูงขึ้น ซึ่งก็ใช่ในมุมหนึ่ง แต่ก็มีอีกหลายปัจจัย

 

โดย Diana Nguyen เจ้าของแพลตฟอร์มออนไลน์สินค้าแบรนด์เนมมือสองชื่อ Second Chance เผยกับหนังสือพิมพ์ South China Morning Post ว่าหลายแบรนด์ขึ้นราคาในช่วงหลังๆ ก็เพราะจะช่วยเรื่องรายได้ที่หดไปเยอะในปี 2020 เพราะสถานการณ์โควิด โดยเฉพาะการที่นักท่องเที่ยวจีนไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศเพื่อไปซื้อสินค้าได้ และการจะซื้อที่ประเทศจีนเองราคาก็สูงกว่า 20-30%

 

เว็บไซต์ Women’s Wear Daily เผยว่า กระเป๋ารุ่นคลาสสิกอย่าง Medium Flap Bag ของ Chanel ตอนต้นปี 2021 อยู่ที่ราว 6,800 ดอลลาร์ ก่อนที่เดือนกรกฎาคมจะอยู่ที่ 7,800 ดอลลาร์ และในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 ขึ้นมาอยู่ที่ 8,800 ดอลลาร์ในอเมริกา ซึ่ง Chanel ให้เหตุผลว่า ราคาขึ้นเพราะปัจจัยเงินเฟ้อ การเปลี่ยนแปลงในขบวนการผลิตสินค้า และสุดท้ายก็คืออยากให้ราคากระเป๋าเทียบเท่ากันทั่วโลกที่เรียกว่า Price Harmonization 

 

นอกเหนือจากนั้นหนังสือพิมพ์ South China Morning Post เผยว่า การที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นก็เพราะหลายแบรนด์ไฮเอนด์อย่าง Hermès, Louis Vuitton หรือ Chanel มีแท็กติกในการไม่ผลิตสินค้าเกินจำนวนหรือเทียบเท่ากับความต้องการของลูกค้า เพื่อจะได้ดูเหมือนสินค้าขาดแคลน ซึ่งจะสร้างความเอ็กซ์คลูซีฟเหมือนเป็นของหายาก โดยพอคนมีกำลังซื้อก็จะรีบไปต่อแถวหน้าร้านหรือเอาชื่อไปลง Waiting List แม้ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บวกทางแบรนด์จะไม่มีวันทำ End of Season Sale ที่แปลว่าลูกค้าถ้าอยากซื้อก็ต้องซื้อเลย จะมารอลดราคาไม่ได้ และอีกไม่กี่เดือนราคาก็อาจกระโดดอีกครั้ง

 

แถมตอนนี้หลายแบรนด์ก็เริ่มมีการบังคับใช้โควตา เพื่อลิมิตลูกค้าว่าซื้อกระเป๋ารุ่นหนึ่งได้กี่ใบต่อปี อย่างเช่น Hermès ที่รู้กันดีว่าถ้าเป็นลูกค้าใหม่จะไปซื้อ Birkin เลยไม่ได้ แต่ต้องทำยอดซื้อสินค้าอื่นๆ ในจำนวนหนึ่งก่อนที่แบรนด์จะยอมให้คุณซื้อได้ ซึ่งตอนจะซื้อ Birkin ได้ครั้งแรกทางแบรนด์ก็อาจให้ออปชันสีหรือวัสดุหนังกลุ่มหนึ่งก่อนที่จะให้กลุ่มพรีเมียมตามความต้องการของเรา

 

แล้วการซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมถือว่าคุ้มค่าในการลงทุนไหม

เหตุผลสำคัญสุดที่เรามองว่าทำไมกระเป๋าแบรนด์เนมขึ้นราคาอยู่เรื่อยๆ และดูไม่มีวันที่จะลดลงแน่นอน ก็เพราะมีการการันตีว่าซื้อไปแล้วมูลค่ามีแต่จะเพิ่มขึ้น และราคาไม่ตก ซึ่งต่างจากหมวดสินค้าลักชัวรีอย่างรถยนต์ซูเปอร์คาร์ที่ใช้ไปสองเดือน และจะขายต่อราคาก็ตกแน่นอน

 

นักวิเคราะห์ Hilary Rose เขียนใน The Times เมื่อปี 2006 ว่า มูลค่าของกระเป๋า Birkin กระโดดขึ้น 500% ตั้งแต่ผลิตออกมาครั้งแรก บวกกับเคยมีผลงานวิจัยของ baghunter.com ที่เผยว่ากระเป๋า Birkin รุ่นหายากมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 14.2% ต่อปี ตั้งแต่ปี 1980-2015 ซึ่งมากกว่าราคาดัชนีตลาดหุ้น S&P 500 หรือทองด้วยซ้ำ ซึ่งทองขึ้นปีละ 1.9% และกระเป๋า Chanel ก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 70% ตั้งแต่ปี 2010

 

ภาพ: Edward Berthelot / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising