บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN เปิดแผนลงทุน 5 ปี ด้วยงบลงทุน 1.2 แสนล้านบาท รองรับการพัฒนาและขยายธุรกิจศูนย์การค้า และโครงการ Mixed-use Development หวังสร้างสมดุลให้พอร์ตธุรกิจ โดยคาดว่าธุรกิจมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบด้วยโรงแรม สำนักงานให้เช่า และที่อยู่อาศัย จะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 30% ใน 5 ปี
วัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CPN เปิดเผยแผนการลงทุนหลังเข้ารับตำแหน่งซีอีโอหญิงคนแรกของ CPN ว่า บริษัทตั้งงบลงทุนรวม 5 ปี (ปี 2565-2569) ไว้ที่ 1.2 แสนล้านบาท สำหรับการขยายและพัฒนาโครงการ Mixed-use Development ใหม่ และพลิกโฉมโครงการปัจจุบัน
ปัจจุบัน CPN มีศูนย์การค้ารวม 36 แห่งทั้งในและต่างประเทศ, ที่พักอาศัย 23 โครงการ, อาคารสำนักงาน 10 โครงการ และโรงแรม 2 โครงการ และใน 5 ปี บริษัทจะมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ อยู่ในมากกว่า 30 จังหวัด ซึ่งจะมีศูนย์การค้า 50 แห่งทั้งในและต่างประเทศ และคอมมูนิตี้มอลล์ 16 แห่ง (อยู่ระหว่างการศึกษาการขยาย), โครงการที่พักอาศัย 68 แห่ง, อาคารสำนักงาน 13 แห่ง และโรงแรม 37 แห่ง โดยมากกว่า 50% ของโครงการทั้งหมดจะเป็นรูปแบบมิกซ์ยูสที่มีมากกว่า 1 ธุรกิจ และมีศูนย์การค้าเป็นหัวใจสำคัญ
ขณะเดียวกัน CPN ยังได้ตั้งทีม Business & Digital Transformation ลงทุน 450 ล้านบาทในปี 2565 เพื่อทรานส์ฟอร์มสู่การเป็น Omni-Channel Platform มากกว่าการเชื่อมออฟไลน์และออนไลน์ แต่ยังเชื่อมโยงทุกธุรกิจใน Ecosystem เข้าด้วยกัน และเชื่อมโยงไปยังลูกค้าเป็น B2B2C สร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ลูกค้าในอนาคต
วัลยากล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้เฉลี่ยในช่วง 5 ปีจากนี้ เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี โดยธุรกิจศูนย์การค้าจะยังเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักของ CPN เช่นเดิม แต่สัดส่วนรายได้จะปรับเปลี่ยนไป เนื่องจากธุรกิจมิกซ์ยูสขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยใน 5 ปีจากนี้ CPN จะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจศูนย์การค้า 70% จากเดิมอยู่ที่ 80% และสัดส่วนรายได้จากมิกซ์ยูสจะเพิ่มเป็น 30%
สำหรับแผนการขยายธุรกิจศูนย์การค้า บริษัทจะเพิ่มศูนย์การค้าใหม่ในช่วง 5 ปีนี้ อีก 14 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ปี 2569 CPN จะมีศูนย์การค้าในเครือทั้งหมด 50 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ 36 แห่ง โดยเฉพาะปี 2565 มีแผนเปิดศูนย์การค้าใหม่ 2 แห่ง โดยในช่วงปลายเดือนมกราคม 2565 ได้เปิดให้บริการเซ็นทรัล วิลเลจ เฟส 2 ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเข้ามา และในเดือนพฤษภาคม 2565 จะมีการเปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล จันทบุรี ซึ่งจะทำให้บริษัทมีพี้นที่เช่าในศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นเข้ามาสนับสนุนการเติบโตของรายได้ในปีนี้
นอกจากนี้ CPN อยู่ระหว่างการนำศูนย์การค้าเซ็นทรัล อุบลราชธานี และเซ็นทรัล สุราษฎร์ธานี เสนอขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNREIT) ซึ่งเป็นการนำโครงการทั้ง 2 แห่งกลับมาพิจารณาขายเข้ากอง CPNREIT อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม CPN อยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ต่างๆให้มีความเหมาะสม หลังจากสถานการณ์โควิดยังมีความไม่แน่นอน จึงต้องประเมินโอกาสในการขายอย่างรอบคอบ และนำ 2 โครงการกลับมาขายต้องมีการนำมาประเมินมูลค่าใหม่อีกครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับมูลค่าในปัจจุบัน ทั้งนี้คาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
สำหรับธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขาย จะขยายการลงทุนโครงการใหม่ๆ เพิ่มอีก 45 โครงการ ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม โดยจะมีโครงการที่อยู่อาศัยของ CPN ทั้งหมด 68 โครงการ จากปัจจุบันมีอยู่ 23 โครงการ และเฉพาะปี 2565 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวม 3 พันล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 2 โครงการในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและเชียงใหม่ และโครงการคอนโดมิเนียมอีก 3 โครงการ ซึ่งทั้ง 5 โครงการจะเป็นโครงการที่อยู่ใกล้หรืออยู่ในบริเวณที่ติดกับศูนย์การค้าของ CPN
ธุรกิจอาคารสำนักงาน CPN จะเน้นพัฒนาโครงการในทำเลที่เป็น CBD เป็นหลัก ซึ่งจะเพิ่มอาคารสำนักงานอีก 3 แห่ง เป็น 13 แห่ง ภายในปี 2569 จากปัจจุบันมีอยู่ 10 แห่ง
ธุรกิจโรงแรม CPN มีแผนจะเพิ่มเป็น 35 แห่ง จากปัจจุบันดำเนินการอยู่ 2 แห่งในพัทยาและอุดรธานี แผนพัฒนาจะเน้นเชิงรุก โดยพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาศูนย์การค้าในแหล่งท่องเที่ยว ส่งผลให้ในปี 2569 บริษัทจะมีโรงแรมทั้งหมด 37 แห่ง
ทั้งนี้งบลงทุน 5 ปี ที่จัดสรรไว้ 1.2 แสนล้านบาท สัดส่วนของเงินลงทุนส่วนใหญ่กว่า 70% จะใช้ในการลงทุนศูนย์การค้าเป็นหลัก โดยแหล่งเงินทุนของบริษัทจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้ ซึ่งบริษัทยังคงออกหุ้นกู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการลงทุนใหม่ๆ โดยที่การออกหุ้นกู้วางแผนออกวงเงินเฉลี่ย 5,000-10,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชุดใหม่และหุ้นกู้ที่ออกมาทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุ
วัลยากล่าวว่า แนวโน้มรายได้ในปี 2565 บริษัทคาดว่าจะเห็นการเติบโตขึ้นในระดับตัวเลข 2 หลัก ซึ่งคาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างโดดเด่นในปีนี้ จากที่ปีก่อนมีฐานรายได้ที่ค่อนข้างต่ำ แม้ว่าจะยังมีการแพร่ระบาดโควิดต่อเนื่อง แต่ในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณที่ดีจากการที่คนกลับเข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้าเพิ่มขึ้น และบริษัทได้ทยอยเปิดพี้นที่เช่าในโซนอิเซตันเดิมของเซ็นทรัลเวิลด์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้สามารถใช้พี้นที่ในเซ็นทรัลเวิลด์มากขึ้น และมีรายได้เข้ามาเสริม
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP