วันนี้ (20 มีนาคม) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 ยื่นฟ้อง คม หรือ พระอาจารย์คม อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี กับพวก รวม 9 คน เป็นจำเลย
คำฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี เป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมาย จำเลยที่ 2, 4 และ 6-9 เป็นพระลูกวัด จำเลยที่ 3, 5 เป็นฆราวาส
ตามวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เบียดบังเงินสดที่มีผู้บริจาคให้แก่วัด โดยนำเงินเก็บรักษาไว้ที่กุฏิจำเลยที่ 1 แล้วยินยอมให้จำเลยที่ 2, 3 นำเข้าฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารชื่อบัญชีจำเลยที่ 3 และบุคคลอื่นที่มีเงื่อนไขให้จำเลยที่ 3 เบิกถอนได้แต่เพียงผู้เดียว รวม 76 ครั้ง นอกจากนี้ยังนำส่งมอบให้จำเลยที่ 3 เก็บไว้เป็นเงินสดในที่พักอาศัยของจำเลยที่ 3
ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดได้เป็นเงิน 51,918,170 บาท และระหว่างวันที่ 1-7 พฤษภาคม 2566 จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์ของวัดป่าธรรมคีรีผู้เสียหายไป โดยจำเลยที่ 1 ตกลงกับจำเลยที่ 2, 4, 6, 8 แล้ว ก่อนจำเลยที่ 1, 2 เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร ได้สั่งการให้จำเลยที่ 4, 6, 8 ขนย้ายทรัพย์สินออกจากกุฏิของจำเลยที่ 1, 2 ไปซุกซ่อนตามสถานที่ต่างๆ ภายในวัด จำเลยที่ 4, 6, 8 จึงขนย้ายทรัพย์สินไปซุกซ่อนไว้เพื่อรอฟังคำสั่งจากจำเลยที่ 1, 2 แจ้งว่าจะให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกจากวัดเมื่อใด
ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 จำเลยที่ 2 โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 9 ไปแจ้งแก่จำเลยที่ 4-8 ช่วยกันขนย้ายทรัพย์สินบางส่วนใส่รถตู้ออกไปซุกซ่อนไว้ที่อื่นนอกวัด โดยมีบางส่วนยังคงซุกซ่อนอยู่ในวัดและอยู่ในกุฏิของจำเลยที่ 1 ซึ่งขนย้ายไปยังไม่หมด การกระทำของจำเลยที่ 2, 4-9 เป็นการร่วมกันกับจำเลยที่ 1 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นไป และเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด รวมเงินสดและทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายเป็นจำนวน 1,454 รายการ รวมราคาเป็นเงินประมาณ 299,505,992 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 91, 147, 157 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172
ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยที่ 2, 3, 4, 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
จำเลยที่ 5, 6, 7, 9 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83
การกระทำของจำเลยที่ 1, 2, 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย
ลงโทษจำเลยที่ 2, 3 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 6 ปี รวม 78 กระทง คงจำคุก 468 ปี
จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 ปี รวม 78 กระทง คงจำคุก 312 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 กระทงละ 4 ปี รวม 77 กระทง คงจำคุก 308 ปี จำคุกจำเลยที่ 4, 8 คนละ 3 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 5, 6, 7, 9 คนละ 3 ปี การเสนอแนวทางชี้ช่องพยานหลักฐานและนำสืบของจำเลยที่ 5-9 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 4, 8 คนละ 2 ปี 2 เดือน 20 วัน คงจำคุกจำเลยที่ 5, 6, 7, 9 คนละ 2 ปี
สำหรับจำเลยที่ 1, 2 และจำเลยที่ 3 เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกคนละ 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 4-9 ให้ยกฟ้อง