วันนี้ (10 กันยายน) ที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 จังหวัดสระบุรี ศาลอ่านคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ อท.95/2567 ที่ วีระ สมความคิดยื่นฟ้อง นิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.)กับพวกรวม 12 คน
ประกอบด้วย วรวิทย์ สุขบุญ จำเลยที่ 2, พล.ต.อ. ดร.วัชรพล ประสารราชกิจ จำเลยที่ 3, ปรีชา เลิศกมลมาศ จำเลยที่ 4,พล.ต.อ. สถาพร หลาวทอง จำเลยที่ 5 ,ณรงค์ รัฐอมฤต จำเลยที่ 6,สุภา ปิยะจิตติ จำเลยที่ 7,วิทยา อาคมพิทักษ์ จำเลยที่8,สุวณา สุวรรณจูฑะ จำเลยที่ 9,พล.อ. บุณยวัจน์ เครือหงส์ จำเลยที่ 10 ,ณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยาจำเลยที่ 11 และสุชาติ ตระกูลเกษมสุข จำเลยที่ 12
ซึ่งทั้งหมดเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ขณะเกิดเหตุ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น จำเลยที่ 1 เป็นเลขาธิการ ป.ป.ช.ตั้งแต่ปี 2564 ถึงปัจจุบัน จำเลยที่ 2 เป็น เลขาธิการ ป.ป.ช. ตั้งแต่วันที่ ปี2560-64
ขณะเกิดเหตุเดือน ตุลาคม 2562 จำเลยที่ 2 เป็นเลขาธิการ และหลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาถึงที่สุด ในปี 2566 จำเลยที่ 1 เป็นเลขาธิการจำเลยที่ 3-12 เป็น ป.ป.ช.
โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 3-10 ขอให้ไต่สวนพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ โดยไม่แสดงว่ามีนาฬิกาข้อมือราคาแพงจำนวนมาก และแหวนประดับมีค่าหลายรายการ แต่จำเลยที่ 3-10 มีมติไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้ไต่สวน
โจทก์ขอข้อมูลข่าวสารของราชการเกี่ยวกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว 3 รายการคือ 1.รายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารทั้งหมด 2.ความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ทุกคนที่รับผิดชอบในเรื่องกล่าวหาดังกล่าว 3.รายการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
จำเลยที่ 3-10ในฐานะคณะกรรมการ ป.ป.ช.ขณะนั้น พิจารณาแล้วมีมติไม่ให้เปิดเผยรายงานการประชุมบันทึกเสนอรายงานผลการตรวจสอบและเอกสารประกอบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเห็นว่าเป็นความเห็น หรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่งอันเป็นข้อมูลข่าวสารตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 วรรค 1(3) ทั้งยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบเรื่องกล่าวหาพลเอกประวิตร ว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ เรื่องกล่าวหาว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ
ซึ่งต้องห้ามไม่ให้เปิดเผยตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 จึงเป็นข้อมูลข่าวสารที่เจ้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมีให้เปิดเผยได้ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
ต่อมาคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายมีคำวินิจฉัยที่ สค 333/2562 ให้สำนักงาน ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการดังกล่าว
โจทก์ไปขอรับข้อมูลข่าวสาร แต่จำเลยที่ 3-10มติให้ข้อมูลบางรายการ แต่ต้องปกปิด บางส่วน และข้อมูลบางรายการต้องขออนุญาตจากพยานเสียก่อน
โจทก์ฟ้องสำนักงานป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต่อศาลปกครองชั้นต้น
ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องทั้งสองเปิดเผยข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1,2 เฉพาะความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่เสนอประกอบการพิจารณาของจำเลยที่ 3-10 และรายการที่ 3 แก่โจทก์ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาวสาขาสังคมการบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย
ผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องทั้งสองไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น จึงอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องทั้งสองเปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคมการบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย
แต่จำเลยที่ 1,3,7,8,9,11,12 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ระหว่างพิจารณาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 4 ศาลอนุญาต และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 3-10 พิจารณาหนังสือของโจทก์ที่ขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีการกล่าวหา พล.อ. ประวิตร จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบสามรายการ
ดังกล่าวแล้วมีมติไม่ให้เปิดเผยเอกสารตามที่โจทก์ขอ เนื่องจากเห็นว่าเป็นความเห็นหรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการหนึ่งเรื่องใด ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการฯและยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบเรื่องกล่าวหาพล.อ. ประวิตร ว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้
และเรื่องกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งต้องห้ามมิให้เปิดเผย ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา6 จึงเป็นข้อมูลข่าวสารที่เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยได้ ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ. 2540 มาตรา 15(6) เป็นกรณีที่จำเลยที่ 3-10 ประชุมพิจารณามีความเห็นแล้วลงมติตามที่ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯและ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฯให้อำนาจจำเลยที่ 3-10ใช้ดุลพินิจพิจารณาและลงมติได้
เมื่อโจทก์ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ให้สิทธิโจทก์ยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้ซึ่งโจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการดังกล่าว และคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารมีคำวินิจฉัยให้สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามที่โจทก์ขอ แต่จำเลยที่ 3-10 ในฐานะคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ข้อมูลบางรายการ แต่ต้องปิดบางส่วน หรือข้อมูลบางรายการต้องขออนุญาตจากพยานเสียก่อนแต่มิได้กำหนดวันที่จะให้ข้อมูลข่าวสารแก่โจทก์
เมื่อโจทก์ขอให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการบังคับสำนักงาน ป.ป.ช. โดยจำเลยที่ 2ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ซึ่งผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการมีหนังสือแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการป.ป.ช.ปฏิบัติตามคำวินิจฉัย และหากโจทก์ยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารครบถ้วน โจทก์สามารถใช้สิทธิฟ้องต่อศาลปกครอง
ต่อมาโจทก์ฟ้องต่อศาลปกครองแล้ว
กระบวนการพิจารณาของจำเลยที่ 3-10ในการประชุม พิจารณา มีความเห็นและลงมติเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่โจทก์ขอ หรือการประชุมพิจารณา มี
ความเห็นและลงมติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ก่อนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566
เป็นวิธีการที่จำเลยที่ 3-10ใช้ดุลพินิจพิจารณามีความเห็น และลงมติเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 หรือต้องดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฯ
ซึ่งจำเลยที่ 3-10เห็นว่าเป็นกฎหมายเฉพาะและยังไม่มีข้อยุติในขณะนั้น ทำให้จำเลยที่ 3,5-10ใช้ดุลพินิจพิจารณาไปตามที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ บัญญัติไว้ก่อนศาลปกครองสูงสูงสุดจะมีคำวินิจฉัยในประเด็นที่โจทก์และจำเลยที่ 3-10โต้แย้งและมีความเห็นไม่ตรงกันดังกล่าว
ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3,5-10 ใช้ดุลพินิจพิจารณาและมีมติเกี่ยวกับคำขอให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของโจทก์ โดยเห็นว่าต้องปฏิบัติตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ บัญญัติไว้ ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตที่โจทก์ฟ้องจำเลยในช่วงเวลาก่อนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาจึงไม่มีมูล
สำหรับจำเลยที่ 2 ในธานะเลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. นั้น พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 148,151 กำหนดให้เลขาธิการรับผิดชอบปฏิบัติงานโดยขึ้นตรงต่อคณะกรรมการป.ป.ช. และต้องปฏิบัติงานตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.การดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องข้อมูลข่าวสารที่โจทก์ขอ
จำเลยที่ 2ต้องปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่2กระทำไปโดยลำพัง แต่ฟังได้ว่าปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เกี่ยว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ดังนั้น ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่๒2,3,5-10ว่ากระทำความผิดในช่วงเวลาก่อนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาจึงไม่มีมูล
แต่หลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 เม.ย.2566 คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดย่อมผูกพันสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนได้ความว่า จำเลย1,3,7,8,9,11,12 ยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่พิพากษาให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการ ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภายใน 15วันนับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีพิพากษา
โดยจำเลยที่ 1,3,7,8,9,11,12 ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 215 บัญญัติไว้
ได้ความจากมติการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ครั้งลงวันที่ 25 เมษายน 2566 ว่าที่ประชุมรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด แต่จำเลยที่3,7,8,9 และที่ 11 ซึ่งเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ฝ่ายเสียงข้างมากมีมติให้มีหนังสือชี้แจงหรือขอพิจารณาคดีใหม่ต่อศาลปกครองสูงสุด พร้อมกับขอทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษา และมี หนังสือขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 ส่วนจำเลยที่ 12 ฝ่ายเสียงข้างน้อยเห็นควรดำเนินการตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
และในการประชุมครั้งที่ 127 /2566ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2566
จำเลยที่ 3,7,8 ฝ่ายเสียงข้างมากมีมติให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร แต่ให้ปกปิดข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่เป็นรายละเอียดของผู้กล่าวหา ผู้แจ้งเบาะแส และพยาน โดยจำเลยที่ 9 เเละ12 ฝ่ายเสียงข้างน้อยเห็นควรให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 3, 7, 8, 11 ที่ลงมติไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว จึงมีมูลว่าเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157ประกอบมาตรา 83 ส่วนจำเลยที่ 9,12 มีความเห็นและลงมติให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด การกระทำของจำเลยที่ 9,12จึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามฟ้อง
ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเลขาธิการสำนักงาน ป.ป.ช.ซึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 148, 151กำหนดให้เลขาธิการรับผิดชอบปฏิบัติงานโดยขึ้นตรงต่อและต้องปฏิบัติงานตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งข้อเท็จจริงจากการไต่สวนฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำไปโดยลำพัง แต่ฟังได้ว่า ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของจำเลยที่1 จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157 จึงให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 3, 7, 8, 11 ไว้พิจารณา ยกฟ้องจำเลยที่ 1,2,5,6,9,10,12
ศาลนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การและกำหนดวันนัดพิจารณา ในวันที่ 28 ตุลาคม 2568