วันนี้ (10 มีนาคม) ดร.รยุศด์ บุญทัน ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสามัคคีไทย กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ว่าขณะนี้รัฐบาลไม่ควรที่จะชะล่าใจ แม้จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตไม่มากเมื่อเทียบกับหลายประเทศ แต่ถ้าประเมินจากสถานการณ์แล้วมีแนวโน้มว่าการระบาดน่าจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งนโยบายและการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูเหมือนจะมีความสับสนและขาดเอกภาพในการแก้ไขปัญหาพอสมควร ขณะที่การสื่อสารต่อประชาชนก็มีไม่มากพอ จนทำให้สังคมเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อมาตรการและแนวทางต่างๆ ที่รัฐบาลออกมา
ดร.รยุศด์ กล่าวต่อว่าด้วยความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดดังกล่าว ตนและพรรคสามัคคีไทยจึงขอเสนอให้รัฐบาลประกาศทำสงครามกับโควิด-19 อย่างจริงจัง และยกระดับการแก้ไขปัญหาให้เป็น ‘วาระฉุกเฉินแห่งชาติ’ โดยมีข้อเสนอ 6 แนวทางแก้ปัญหาเชิงรุกดังต่อไปนี้
1.รัฐต้องยกระดับการแก้ไขปัญหาให้เป็น ‘วาระฉุกเฉินแห่งชาติ’ ด้วยการระดมทุกสรรพกำลัง ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญจากทุกหน่วยงาน จัดตั้งเป็นศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 (วอร์รูม) อย่างเร่งด่วน เพื่อใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการแก้ไขและบริหารจัดการสถานการณ์การระบาดของโรคอย่างเป็นระบบและทันท่วงที ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และอื่นๆ ต้องบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพและมีประสิทธิภาพภายใต้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายให้ไว้ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้อำนวยการศูนย์บัญชาการด้วยตนเอง เพราะถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญที่กระทบต่อความมั่นคงและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งประเทศ
2.ส่วนกลางต้องมอบอำนาจเต็มให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการสถานการณ์ ซึ่งต้องอาศัยการตัดสินใจอย่างเร่งด่วนทันท่วงทีในแต่ละพื้นที่ โดยให้อำนาจกับผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารสถานการณ์ พร้อมทั้งให้ส่วนราชการในจังหวัดเข้ามาร่วมทำงาน ตั้งวอร์รูมจังหวัด พร้อมรายงานสถานการณ์ต่อส่วนกลางตลอด 24 ชั่วโมง ที่สำคัญรัฐต้องกระจายสิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือการตรวจเชื้อโควิด-19 และอุปกรณ์ที่จำเป็นอื่นๆ ไปตามจังหวัดต่างๆ เพื่อลดการกระจุกของการจัดการที่ส่วนกลาง
3.ออกมาตรการในการกำกับดูแลทุกภาคส่วน ห้ามนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศที่มีการระบาดของโควิด-19 เดินทางเข้ามาประเทศไทย รวมทั้งเพิ่มมาตรการในการตรวจระวัง คัดกรองนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ หรือนักท่องเที่ยวไทยซึ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศต้องได้รับการคัดกรอง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโควิด-19 ต้องถูกกักตัวขั้นต่ำตามมาตรฐาน 14 วันทุกคนอย่างไม่มีข้อยกเว้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่ารัฐสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
4.รัฐควรกำกับดูแลราคาสินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันโรคระบาด เช่น หน้ากากอนามัย นำ้ยาป้องกันเชื้อโรค เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงสินค้าเหล่านี้ได้ กำกับไม่ให้มีการกักตุนสินค้าหรือจำหน่ายสินค้าอื่นๆ เกินราคา รวมทั้งรัฐต้องจัดส่งสินค้าในการป้องกันโรคพื้นฐานให้กับประชาชนในการต่อสู้กับการระบาด เช่น หน้ากากอนามัย รวมไปถึงการเตรียมสร้างโรงงานผลิตสินค้าเหล่านี้โดยร่วมมือกับภาคเอกชน ซึ่งการเตรียมพร้อมควรทำก่อนหน้า ไม่ใช่ละเลยให้สถานการณ์บานปลายจนมีการระบาดรุนแรงแล้วค่อยดำเนินการ
5.รัฐต้องมีมาตรการลงโทษอย่างหนักต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่หาผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของประชาชน โดยเฉพาะหากเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดกับรัฐมนตรีหรือรัฐบาล ยิ่งต้องถูกประณามและมีการลงโทษที่สูงกว่า
6.รัฐต้องแสดงถึงภาวะผู้นำ การตัดสินใจที่มีหลักการและเหตุผล โดยเฉพาะการสื่อสารที่จะนำสารไปถึงประชาชนต้องมีความชัดเจน ไม่สับสน ควรมีการตั้งช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการ และควรเป็นช่องทางหลักในการให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลจากรัฐและการแนะเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ซึ่งเป็นช่องทางที่จะต้องสร้างความมั่นใจ ไม่ใช่สร้างความระแวง ควรเน้นช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และต้องเปิดเป็นสาธารณะ เช่น ข้อมูลสำหรับโรงพยาบาลหรือชุมชนแจ้งว่าขาดหน้ากากอนามัย หรือช่องทางแจ้งว่าพบเจอผู้ต้องสงสัยติดเชื้อ หรือให้ข้อมูลอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ซึ่งต้องทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะมีความสำคัญมากต่อสถานการณ์ที่จะทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ดร.รยุศด์ กล่าวทิ้งท้ายว่าสิ่งที่ตนและพรรคสามัคคีไทยนำเสนอเป็นประเด็นที่อยากจะสื่อสารอย่างหนักแน่นไปยังรัฐบาลเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการสถานการณ์อย่างจริงจัง เพราะในท้ายที่สุดผลประโยชน์จะเกิดกับประชาชน และเราก็จะสามารถก้าวข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
