วันนี้ (10 กันยายน) ที่อาคารรัฐสภา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ส.ส. พรรคก้าวไกล แถลงจุดยืนของพรรคก้าวไกลต่อการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3
พิธากล่าวว่า จุดยืนของพรรคก้าวไกลในการโหวตครั้งนี้ก็คือการงดออกเสียง เนื่องจากในวาระแรกของการพิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ พรรคก้าวไกลยืนยันว่าปัญหาทางการเมืองที่ถูกผูกด้วยรัฐธรรมนูญปี 2560 ต้องแก้ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง และสามารถแก้ได้ทุกหมวด ทุกมาตรา จึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกผูกโดยรัฐธรรมนูญ 2560
หลังจากที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับถูกลดทอนลงเหลือเพียงการแก้ไขระบบเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลมีความเห็นว่าควรที่จะแก้ไขระบบเลือกตั้ง เพื่อที่จะให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าและถอดบทเรียนจากระบบเลือกตั้งที่ทำให้เกิดปัญหาและวิกฤตทางการเมืองในอดีต
พรรคก้าวไกลเห็นด้วยกับการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ เพื่อขจัดการเหมารวมเจตจำนงของพี่น้องประชาชน บัตรเลือกตั้ง ส.ส. 1 ใบ พรรคการเมือง 1 ใบ ชัดเจน
ขณะเดียวกันการคำนวณสัดส่วน ส.ส. พรรคก้าวไกลสนับสนุนให้มีการคำนวณ ส.ส. ให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรม ทำให้การเมืองเข้มแข็ง เป็นการเมืองที่โอบรับความหลากหลายจากทุกภาคส่วนของประเทศไทย แต่ผลลัพธ์ออกมาคือไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของพรรคก้าวไกล
พรรคก้าวไกลยืนยันว่าเราไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ในการสืบทอดอำนาจของ คสช. ขณะเดียวกันพรรคก้าวไกลไม่สามารถที่จะเห็นชอบผลลัพธ์ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาทั้งวาระที่ 1 และวาระที่ 2 ได้ ดังนั้นพรรคก้าวไกลจึงของดออกเสียง
พิธากล่าวต่อไปว่า จากนี้จะเหลือเพียงการชี้ชะตาของผู้เสนอญัตติในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เท่านั้นว่าจะมีเสียงสนับสนุนมากน้อยเพียงใด ตนฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ ส.ส. ทุกคน พร้อมที่จะสู้ในทุกกติกา ทุกสนาม ทุกเมื่อ และพร้อมที่จะเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนในการแก้ไขปัญหาวิกฤตบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจหรือสังคม
ทั้งนี้ พิธายังกล่าวถึงกรณีที่ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าน่าจะสามารถเป็นคำตอบได้ว่าภายในพรรคพลังประชารัฐนั้นมีปัญหาจริงและกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล โดยผลที่ตามมาคือความไร้เสถียรภาพของพรรค และเหตุผลในการลาออกของ ร.อ. ธรรมนัส น่าจะเป็นไปได้ว่าเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาว่าความชอบธรรมของนายกรัฐมนตรีก็ไม่สู้ดีนัก และปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐอะไรก็เป็นไปได้ จึงขอให้รัฐบาลช่วยโฟกัสที่ศึกนอก ทั้งปัญหาเศรษฐกิจและโควิดมากกว่าศึกภายในพรรคพลังประชารัฐเอง