วันนี้ (15 กุมภาพันธ์) คารม พลพรกลาง อดีต สส. พรรคอนาคตใหม่ และอดีต สส. พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีหนังสือไปยังอดีต สส.พรรคก้าวไกล และ สส. พรรคประชาชนที่ได้ร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ตนเองไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้น เพราะว่าถูกกันไม่ให้ร่วมกิจกรรมของพรรคก้าวไกลตั้งแต่วันแรก ที่ย้ายเข้าพรรคก้าวไกลแล้ว แต่ถ้าได้มีส่วนร่วมก็ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แน่นอน
“คนธรรมดายังมีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 และมาตรา 328 คุ้มครอง ซึ่งมาตรา 112 นั้น เป็นกฎหมายป้องกันการกัดเซาะบ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ที่มีความสำคัญยิ่งต่อบ้านเมือง เป็นสถาบันที่ทำให้บ้านเมือง มีหลัก ทำให้บ้านเมืองมั่นคงแข็งแรง” คารมกล่าว
คารมกล่าวอีกว่า ตนเองไม่รู้ว่าสิ่งที่ สส. ลงชื่อจะผิดหรือถูก และจะมีความรุนแรงขนาดไหน และจะไม่ไปซ้ำเติมเพื่อน สส. เหล่านี้ แม้ว่าจะทำกับตนเองไว้เยอะมากในช่วงนั้น แต่โดยหลักการแม้ สส. ซึ่งเป็นคนออกกฎหมายและเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจออกกฎหมายและแก้ไขกฎหมายก็ตาม แต่บางอย่างแม้มีอำนาจก็อาจทำไม่ได้ เช่นการแก้รัฐธรรมนูญห้ามแก้หมวด 1
คารมกล่าวว่า นี่คืออีกเหตุผลว่าทำไมพรรคภูมิใจไทย จึงเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงต้องมีการถามประชาชนหรือทำประชามติก่อน เพราะตามหลักการประชาชนเป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญ พรรคไม่อยากเสี่ยงเนื่องจากเรื่องนี้คล้ายกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เมื่อบางพรรคไม่อยากเสี่ยง ไม่เห็นด้วย จึงเป็นเอกสิทธิ์ของ สส.
“ใครอยากเสี่ยงก็อาจเป็นเหมือน สส. ของบางพรรคที่ได้ลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 วันนี้ผลมันก็ออกมาแล้วอย่างที่เป็นข่าวว่า ป.ป.ช. เริ่มเชิญไปรับข้อกล่าวหาแล้ว ความจริงผมเป็นพยานคนหนึ่งที่ ป.ป.ช. เชิญไปให้ถ้อยคำในฐานะพยานที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ ผมก็ได้ไปให้การไปตามความจริงที่ผมรับรู้มา โดยอุปนิสัยผมไม่เคยข้ามคนล้ม แต่ตอนที่ผมล้มเหยียบผมจมธรณีเลยทุกคน เพราะฉะนั้นก็ขอพูดความจริงว่า วันพระไม่มีหนเดียว สำหรับเพื่อนเก่าที่จะให้ผมไปเป็นพยานช่วยนั้น ผมยินดีนะครับ เพื่อนก็คือเพื่อน แต่ผมจะพูดตามจริงเท่านั้น คนเป็นนักกฎหมายก่อนจะลงชื่อต้องคิดก่อน” คารมกล่าว