ที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวานนี้ (9 ก.ค.) พิจารณารายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 (ตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561) ซึ่งประกอบด้วยงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561 งบรายได้และค่าใช้จ่าย งบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ งบกระแสเงินสด รายงานการรับจ่ายเงินประจำปีงบประมาณ โดยมี อัญชลี ศรีอำไพ ผู้อำนวยการกองบัญชีภาครัฐ รักษาการที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบบัญชี กรมบัญชีกลาง เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียด
อัญชลีระบุว่า รัฐบาลมีสินทรัพย์ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 รวมทั้งสิ้นจำนวน 7,833,871.98 ล้านบาท เป็นหนี้สินและภาระผูกพันรวมทั้งสิ้นจำนวน 6,029,236.99 ล้านบาท สรุปภาพรวมรัฐบาลมีสินทรัพย์สุทธิจำนวนทั้งสิ้น 1,804,634.99 ล้านบาท มีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 2,606,683.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 163,198.24 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.68 ซึ่งประกอบด้วย รายได้แผ่นดินจากหน่วยงานของรัฐ เงินนำส่งกำไรและเงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจ ส่วนเกินมูลค่าพันธบัตรจัดจำหน่าย และรายได้อื่น ส่วนค่าใช้จ่ายมีทั้งสิ้นจำนวน 2,929,594.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 58,399.46 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.03 ประกอบด้วย รายจ่ายจากเงินงบประมาณจากหน่วยงานและค่าใช้จ่ายอื่น ผลจากการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 รายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิจำนวน 322,911.34 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้ออกพันธบัตรรัฐบาลและตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 500,358.10 ล้านบาท
ด้านสมาชิกวุฒิสภาผลัดกันอภิปราย พร้อมตั้งข้อสังเกตในหลายประเด็น อาทิ ข้อสังเกตถึงตัวเลขงบแสดงสินทรัพย์สุทธิ ที่พบว่างบประมาณที่เหลือจากการลงทุนของรัฐ ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นงบพัฒนาประเทศ มีเพียงร้อยละ 7 ถือว่าน้อยมาก จึงอยากให้มีการกำกับดูแลและตรวจสอบงบประมาณในส่วนนี้ให้ละเอียดรัดกุมมากยิ่งขึ้น รวมถึงข้อสังเกตเกี่ยวกับกำไรที่ได้จากรัฐวิสาหกิจ พบว่ามีกำไรลดน้อยลง พร้อมเสนอแนะให้กรมธนารักษ์บริหารจัดการที่ดินราชพัสดุ โดยให้สำรวจที่ดินราชพัสดุที่ใช้ในระบบราชการว่ายังมีพื้นที่ใดที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพื่อนำไปให้เช่าหารายได้เข้ารัฐ
นอกจากนี้สมาชิกวุฒิสภาได้แสดงความเห็นว่า รายงานการเงินนี้แสดงให้เห็นว่าต่างประเทศมีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลมากขึ้น และชื่นชมการจัดทำรายงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่ารายได้ของรัฐบาลที่ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หาก GDP ไม่ได้โตตามที่คาดไว้ จะส่งผลให้การชำระหนี้สาธารณะระยะยาวมีปัญหาได้
ทั้งนี้ ทางคณะผู้ชี้แจงได้ตอบข้อซักถาม พร้อมนำข้อเสนอแนะไปพิจารณา ก่อนชี้แจงรายละเอียดเป็นรายงานต่อไป นอกจากนี้ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการกู้เงินของประเทศในปัจจุบันจะกู้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศ เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- ทีมข่าววิทยุรัฐสภา