×

คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ ในวันที่เปลี่ยนไป และเหตุไฉน ‘คาวบอย’ คือคู่ชกที่เหมาะสม!

18.01.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ มีคิวคืนสังเวียนมิกซ์มาเชียลอาร์ตในรอบ 15 เดือน โดยจะกลับมาเผชิญหน้ากับนักสู้มากประสบการณ์อย่าง โดนัลด์ เคอร์โรน ในศึก UFC 246 (เช้าวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม ตามเวลาประเทศไทย)
  • การกลับมาครั้งนี้ของ The Notorious ถูกตั้งคำถามไว้เยอะพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบุคลิกที่เปลี่ยนไป รวมถึงการขุนน้ำหนักตัวเองให้ขึ้นไปอยู่ในพิกัดเวลเธอร์เวท จนเป็นการถูกมองว่า เป็นการเลี่ยงที่จะต่อสู้กับ คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ อีกครั้ง? หรือมองข้ามไปถึงการสู้กับ 2 ยอดนักสู้ประจำพิกัด 170 ปอนด์ อย่าง กามารู อุสมาน และ จอร์จ มาสวิดัล หรือไม่
  • อะไรคือเหตุผลให้ โดนัลด์ เคอร์โรน กลายเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับแม็กเกรเกอร์ที่สุดในเวลานี้?

เหลือเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ยอดนักสู้มวยกรงแปดเหลี่ยมแห่งศึก UFC (Ultimate Fighting Championship) เจ้าของฉายา ‘The Notorious’ อย่าง คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ เจ้าของสถิติ ชนะ 21 แพ้ 4 และอันดับที่ 9 ของนักสู้ที่ดีที่สุดเมื่อเทียบปอนด์ต่อปอนด์ จะหวนคืนสู่สังเวียนอีกครั้ง 

 

การกลับมาของแม็กเกรเกอร์ครั้งนี้ ถือเป็นไฟต์แรกในรอบ 15 เดือน นับตั้งแต่การปราชัยให้กับ คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ ในไฟต์ชิงแชมป์รุ่นไลท์เวทศึก UFC 229 เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2018 และถัดจากนั้นไม่นาน เจ้าตัวประกาศผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า ขอยุติเส้นทางการต่อสู้ด้วยการแขวนนวมช่วงต้นปี 2019 

 

ทว่า การประกาศแขวนนวมของแม็กเกรเกอร์ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นการเซอร์ไพรส์แฟนมวยกรงเท่าไรนัก เพราะก่อนหน้านี้ในปี 2016 นักสู้สายเกรียนชาวไอริชรายนี้ก็เคยประกาศเลิกไปแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนที่ 4 เดือนต่อมาจะคืนสังเวียนกลับมาอีกคำรบ

 

นั่นจึงทำให้วาทะการประกาศเลิกชกของแม็กเกรเกอร์เป็นสิ่งที่หลายคนไม่ค่อยเชื่อถือมากนัก บวกกับเจ้าตัวที่เพิ่งจะอายุ 31 ปี และฝีมือการชกที่ยอดเยี่ยมพอที่จะกลับมายืนหัวแถวของแรงกิ้งของ UFC อีกครั้ง จึงทำให้แฟนมวยและผู้คร่ำหวอดวงการมิกซ์มาเชียลอาร์ตเชื่อว่า ถึงอย่างไรก็ตาม…แม็กเกรเกอร์จะกลับมาสู้อีกครั้ง

 

และแน่นอนว่า สิ่งที่หลายคนเดาหรือฟันธงกัน กลายเป็นความจริง เพราะหลังจากนั้นเพียง 9 เดือน แฮชแท็ก #TheNotoriousIsBack ถูกนำกลับมาใช้งานอีกครั้ง พร้อมการประกาศชื่อคู่ชกอย่างเป็นทางการ นั่นก็คือ ‘คาวบอย’ โดนัลด์ เคอร์โรน ซึ่งจะสู้กันในศึกใหญ่รับปี 2020 อย่าง UFC 246 ช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม ตามเวลาประเทศไทย

 

 

การกลับมา…พร้อมท่าทีที่เปลี่ยนไป?

ในรอบสัปดาห์ก่อนขึ้นสู้กันของ 2 สุดยอดนักสู้ มีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวโหมโรงก่อนสู้กันอย่างเป็นทางการ แต่ทว่า แค่แนะนำตัวแม็กเกรเกอร์ เสียงเฮก็ดังลั่นฮอลล์ที่ใช้จัดแถลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า กระแสของเจ้าตัวยังคงยอดเยี่ยมอยู่ในตอนนี้

 

แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ สำหรับการกลับมาของแม็กเกรเกอร์หนนี้คือ ท่าที, การวางตัวที่เปลี่ยนไป มีความสุขุมมากขึ้น อีกทั้งก่อนการให้สัมภาษณ์ยังมีการเดินไปจับมือกับเคอร์โรน ซึ่งมันดูผิดธรรมชาติของแม็กเกรเกอร์เอามากๆ ที่ปกติจะยียวนกวนประสาทคู่ต่อสู้ในงานแถลงข่าวอยู่เป็นประจำ

 

“คุณรู้ไหม, ผมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ผมเป็นตัวของตัวเองแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ซึ่งตัวผมเองไม่คิดว่าผมเปลี่ยนไปมากเท่าไรหรอกนะ

 

“คุณรู้ไหม, ผมโตขึ้นและมีประสบการณ์มากขึ้น และผมก็ผ่านบางสิ่งที่ช่วยพัฒนาให้ผมเป็นลูกผู้ชายเหมือนอย่างที่พวกเราทุกคนเผชิญมา แต่ถ้าคุณลองถามครอบครัวของผมหรือคนที่รู้จักผมดี คุณจะรู้เลยว่า ผมก็ไม่ได้ต่างไปจากนี้หรอก” แม็กเกรเกอร์กล่าว

 

ตลอดการแถลงข่าวเชื่อว่า คงมีนักข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์จำนวนไม่น้อยที่รอฟังวลีจิกกัดคู่ต่อสู้จากปากของแม็กเกรเกอร์ แต่ดูเหมือนประโยคที่ใกล้เคียงว่าจะปะทะคารมที่สุด น่าจะเป็นประโยคดังนี้

 

แม็กเกรเกอร์: คุณรู้ไหม, ผมสามารถอ่านทางมวยของเขาได้พอๆ กับอ่านหนังสือของเด็ก

เคอร์โรน: เขาสามารถอ่านทางผมได้เหรอ? ถ้าอย่างนั้นเราคงจะได้เห็นดีกัน

 

 

ตลอดการให้สัมภาษณ์ของแม็กเกรเกอร์ น่าจะทำเอาแฟนมวยจำนวนไม่น้อยรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยินและสิ่งที่ได้เห็น ซึ่งมันอาจเป็นเพราะเคอร์โรนไม่ใช่คู่ปรับที่มีสตอรีร่วมกันมาก่อนหน้านี้ เหมือนอย่างรายของ คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ, โฆเซ อัลโด และ เนต ดิแอช ที่มีกรณีสร้างสงครามจิตวิทยา, สงครามคีย์บอร์ดนอกสังเวียน ก่อนไฟต์ขึ้นชกจริง

 

ทั้งนี้ การกลับมาพร้อมบุคลิกที่นิ่งขึ้นและมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวต้องการกลับมาสู้อย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่การสู้เพื่อทำเงินไปเรื่อยๆ เหมือนอย่างในอดีตที่เคยสร้างรายได้ต่อไฟต์มหาศาล โดยเฉพาะการเปลี่ยนสังเวียนไปขึ้นชกมวยสากลในแมตช์พิเศษกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ที่แม้จะโดนน็อกแบบสู้ไม่ได้ในยกที่ 10 แต่นั่นก็คุ้มและเพียงพอที่จะทำให้แม็กเกรเกอร์ได้รับค่าเหนื่อยจากการขึ้นชกราวๆ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือตีเป็นเงินไทยสูงกว่า 3,334 ล้านบาทเลยทีเดียว

 

 

หนี ‘อินทรี’ ปะ ‘จระเข้’ ?

อีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนสนใจเป็นลำดับถัดมาคือ เรื่องของน้ำหนักที่แม็กเกรเกอร์เตรียมจะขึ้นชกในวันอาทิตย์นี้ อยู่ที่พิกัดรุ่นเวลเธอร์เวท!

 

หากนับเฉพาะช่วงเวลาที่ชกให้สมาคม UFC แม็กเกรเกอร์ทำผลงานในรุ่นเฟเธอร์เวทได้อย่างยอดเยี่ยมมาโดยตลอด รวมถึงในรุ่นไลท์เวท เจ้าตัวก็เคยทำน้ำหนักขึ้นมาพิชิต จนกลายเป็นแชมป์ 2 รุ่นมาแล้ว

 

แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อในรุ่นไลท์เวทมีพญาอินทรีไร้พ่ายแฝงตัว ซุ่มจัดการนักสู้ในรุ่นเดียวกันมาไม่น้อย จนไต่เต้าขึ้นไปเป็นอันดับที่ 1 ของรุ่น และก้าวสู่การเป็นแชมป์ในที่สุด

 

จนกระทั่งแม็กเกรเกอร์ที่เลือกสละแชมป์ทั้ง 2 เส้น เพื่อขึ้นไปชกกับ เนต ดิแอช อยู่ 2 รอบ ในพิกัดที่ใหญ่ขึ้นไปอีกระดับอย่างเวลเธอร์เวท กลับลงไปที่รุ่นไลท์เวทอีกครั้ง เพื่อทวงบัลลังก์แชมป์ที่ไม่เคยแพ้ใคร…กับนักสู้ไร้พ่ายที่ยึดครองความเป็นหนึ่งของรุ่นไลท์เวทในเวลานั้นอย่าง คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ

 

ทั้งแม็กเกรเกอร์และนูร์มาโกเมดอฟถูกกำหนดให้สู้ในศึก UFC 229 และผลก็เป็นอย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า เกรียนไอริชไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งจากนูร์มาโกเมดอฟ ที่เลือกจู่โจมด้วยการเล่นกราวด์เกม (การรวบคู่ต่อสู้ให้ล้มลงกับพื้น) ก่อนจะปิดบัญชีแม็กเกรเกอร์ด้วยการล็อกคออย่างท่า Neck Crank ทำเอาแม็กเกรเกอร์ไม่สามารถทนได้ จนต้องยอมแท็บเอาต์ (ตบพื้นเพื่อแสดงการยอมแพ้) ไปอย่างเจ็บปวด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า การที่แม็กเกรเกอร์เลือกคัมแบ็กมาสู้ในพิกัด 170 ปอนด์ จะทำให้เจ้าตัวไม่ต้องกลับมาเจอ คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ ที่ร้อนแรงสุดๆ ในชั่วโมงนี้

 

 

 

อย่างไรก็ดี The Notorious ให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดเกี่ยวกับการเพิ่มน้ำหนักไปที่รุ่นเวลเธอร์เวท ซึ่งถูกโยงไปถึงแชมป์ประจำพิกัดนี้อย่าง กามารู อุสมาน รวมถึงนักสู้ฟอร์มร้อนแรงฝีปากจัด เจ้าของแชมป์พิเศษ BMF อย่าง จอร์จ มาสวิดัล ว่า มองถึงอนาคตที่จะได้สู้กับ 2 คนนี้หรือไม่

 

“ตอนนี้ผมมีรูปร่างที่เรียกได้ว่าดีที่สุดในชีวิต ทั้งจิตใจและร่างกาย ยิ่งกว่านั้น ผมพยายามทำน้ำหนักเพื่อการแข่งขันบางไฟต์ช่วงปี 2020”

 

เกรียนไอริชตอบในงานแถลงข่าวเพิ่มเติมว่า เจ้าตัวเองก็มีความสนใจที่จะสู้กับทั้งสองคน เพราะทั้งสองคนที่ถูกหยิบยกมา พวกเขาต่างมีเข็มขัดแชมป์คาดเอวกันทั้งคู่ แต่ถ้าหากต้องเลือกสู้ อาจจะขอเลือกสู้กับมาสวิดัลมากกว่าอุสมาน เพราะน่าจะช่วยสร้างการต่อสู้ที่น่าสนใจมากขึ้น ดังนั้น ไม่ว่าแม็กเกรเกอร์จะทำน้ำหนักขึ้นมาสู้ในรุ่นเวลเธอร์เวทด้วยเหตุผลใดก็ตาม คงต้องยอมรับว่า นาทีนี้ไม่มีรุ่นไหนที่ดูเป็นงานง่ายพอที่จะทำให้เจ้าตัวกลับไปลุ้นเป็นแชมป์รุ่นแบบง่ายดายเหมือนในอดีตเลย

 

 

เหตุไฉนคู่ปะมือถึงเป็น The Cowboy

สำหรับ โดนัลด์ เคอร์โรน หรือพ่อคาวบอยจอมต่อยถี่ (ฉายาที่แฟนมวยในไทยตั้งให้) ปัจจุบันอายุ 36 ปี เจ้าของสถิติชนะ 36 แพ้ 13 สามารถจัดให้อยู่ในกลุ่มนักสู้เกรด B ถึง B+ ได้เลย แถมยังเป็นหนึ่งในนักสู้ที่มีค่าเฉลี่ยการขึ้นชก 3-4 ไฟต์ต่อปี นับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากๆ เมื่อเทียบกับคู่ชกทั่วไป รวมถึงตัวแม็กเกรเกอร์เองที่ไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอในการขึ้นสู้มากนัก

 

และแม้ว่า โดนัลด์ เคอร์โรน อาจไม่ใช่นักสู้ที่เก่งหรือหวือหวามากนัก มีแพ้มีชนะสลับไปมาเป็นว่าเล่น แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าตัวได้รับการยอมเป็นพิเศษคือ เรื่องของหัวจิตหัวใจของความเป็นนักสู้ที่ดี ผนวกกับทักษะการต่อสู้นั้นค่อนข้างครบเครื่องมาก ไม่ว่าจะเป็นทักษะการยืนต่อสู้อย่างคิกบ็อกซิ่งและมวยไทย ขณะที่ทักษะการสู้ภาคพื้นดินที่เป็นดั่งของแสลงแม็กเกรเกอร์ ทางด้านเคอร์โรนก็ทำได้ดี เมื่อมีจังหวะและโอกาส ด้วยเหตุนี้น่าจะทำให้ไฟต์ต้อนรับการกลับมาของแม็กเกรเกอร์ ชายผู้นี้ดูจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดไม่แพ้บรรดานักสู้คนอื่นๆ

 

 

‘ซ้ายสั่งตาย’ จุดขายของ The Notorious

‘ไม่ว่าคุณจะเป็นคนนอนหลับยากแค่ไหน หมัดซ้ายของแม็กเกรเกอร์จะทำให้คุณหลับง่ายยิ่งขึ้น’ นี่คือประโยคที่มีการพูดแซวกันในหมู่แฟนมวย MMA 

 

หนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้แม็กเกรเกอร์ประสบความสำเร็จหลายๆ ไฟต์การต่อสู้นั่นก็คือ ‘หมัดซ้าย’ ที่ผ่านมามีนักสู้จำนวนไม่น้อยที่เคยจำนนต่อหมัดซ้ายของแม็กเกรเกอร์มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เอ็ดดี อัลวาเรซ, แชด เมนเดส, ดัสติน พอยริเออร์, ดิเอโก แบรนดาว รวมถึงช็อตที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดต้องยกให้ในไฟต์ที่ปะมือกับ โฆเซ อัลโด ยอดนักสู้ที่ไม่เคยแพ้ใครมา 18 ไฟต์ติด ยังเคยถูกเบรกความร้อนแรง พร้อมกับเสียแชมป์รุ่นเฟเธอร์เวทจากฤทธิ์หมัดซ้ายของแม็กเกรเกอร์ด้วยเวลาเพียง 13 วินาที หลังระฆังดังในยกแรกเท่านั้น

 

Photo: ตัวเลขที่น่าสนใจก่อนขึ้นชก / UFC

 

ถึงตรงนี้ต้องบอกตามตรงว่า อาวุธหมัดของแม็กเกรเกอร์ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่ว่านักสู้คนไหนก็ไม่ควรประมาทด้วยประการทั้งปวง โดยเฉพาะกับเคอร์โรน ที่ต้องศึกษาวิธีรับหมัดจากแม็กเกรเกอร์เป็นพิเศษ หากไม่อยากมีจุดจบเหมือนกับนักสู้ที่ถูกกล่าวถึงในข้างต้น เนื่องจากไฟต์ล่าสุดเจ้าตัวก็เพิ่งจะถูกนักสู้รุ่นน้อง จัสติน เกธจี รัวหมัดน็อกตั้งแต่ยกแรก ชนิดที่ไม่ได้ตั้งตัว

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่า เคอร์โรนดูจะเสียเปรียบเสียทีเดียว ถ้าใครเป็นแฟนมวยกรงมิกซ์มาเชียลอาร์ต หรือเป็นแฟนคลับของแม็กเกรเกอร์เอง ก็น่าจะทราบดีว่า จุดอ่อนของนักสู้เลือดไอริชรายนี้อยู่ที่การสู้ภาคพื้นดิน! 

 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า สถิติความพ่ายแพ้ 4 ครั้ง ตลอดชีวิตการต่อสู้มิกซ์มาเชียลอาร์ตของเกรียนไอริช เป็นการแพ้แบบซับมิชชันทั้งหมด 

 

ดังนั้น ทักษะการเล่นแบบภาคพื้นดินและประสบการทำซับมิชชันไม่ต่ำกว่า 17 ครั้ง ที่ทำมาตลอดอาชีพการชกของเคอร์โรน กลายเป็นอีกความท้าทายที่ทำให้อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่า แม็กเกรเกอร์จะยังคงยืนหยัดสู้ในแบบที่ตัวเองถนัดเหมือนไฟต์ที่ผ่านมาหรือไม่ หรือที่หายไปหลายเดือน มีการซุ่มซ้อมกลยุทธ์ใหม่ๆ รวมถึงการรับมือของแสลงส่วนตัวอย่างกราวด์เกมอย่างไร

 

ที่ต้องย้ำเรื่องกลยุทธ์การต่อสู้ของแม็กเกรเกอร์แบบนี้ นั่นก็เพราะไฟต์ระหว่างเจ้าตัวกับเคอร์โรน สำหรับแฟนมวยหลายคนอาจจะมองว่าเป็นเพียงไฟต์ธรรมดาที่ท่านประธานสมาคม UFC ดานา ไวต์ จัดขึ้นเพื่อให้แม็กเกรเกอร์ใช้แมตช์นี้กลับมาเรียกความมั่นใจในวงการอีกครั้ง เพราะถ้าแม็กเกรเกอร์ชนะ แน่นอนว่าจะกลับมาคุยโวได้อีกครั้ง และจะสามารถท้าคนอื่นชกอย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง

 

แต่อีกมุมหนึ่ง แฟนมวยไม่น้อยต่างมองว่า ไฟต์นี้อาจกลายเป็นเข็มทิศชี้ชะตาอนาคตในวงการมิกซ์มาเชียลอาร์ตของ The Notorious นับจากนี้ได้เลย เพราะถ้าหากไฟต์นี้ยังไม่สามารถกลับเข้าสู่ฟอร์มที่เคยทำได้อย่างในอดีตอีกครั้ง 

 

บางที…อาจทำให้นักสู้เลือดไอริชหมดกำลังใจ และอาจทำให้เจ้าตัวออกมาประกาศลาวงการอีกเป็นครั้งที่ 3 ก็เป็นได้

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X