วันนี้ (7 มิถุนายน) ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมผู้ผลิตสุราชุมชนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ
ศศิกานต์ระบุว่า กฎหมายฉบับนี้ได้แก้ไขมาตรา 153 ของ พ.ร.บ. เดิม กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะผลิตสุราหรือมีเครื่องกลั่น ต้องยื่นคำขออนุญาตต่ออธิบดีกรมสรรพสามิต และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด กฎกระทรวงที่จะตามมาจะมุ่งส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อย สามารถขอใบอนุญาตผลิตสุราเพื่อการค้าได้ โดยใช้วัตถุดิบการเกษตรในประเทศ และอนุญาตให้สุราที่ผลิตมีสีหรือกลิ่นได้
กฎหมายยังระบุชัดว่า ห้ามกำหนดหลักเกณฑ์ที่เป็นการเลือกปฏิบัติ หรือก่อให้เกิดการผูกขาดทางเศรษฐกิจโดยไม่เป็นธรรม เว้นแต่กรณีที่เกี่ยวข้องกับการถือครองของชาวต่างชาติ หรือการผลิตสุราของรัฐวิสาหกิจเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย ใบอนุญาตที่ออกจะมีอายุ 3 ปี
“การปรับปรุงกฎหมายครั้งนี้เป็นการปลดล็อกข้อจำกัดเดิม ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับฐานราก โดยเฉพาะสุราชุมชน ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ Soft Power ของไทยที่มีศักยภาพต่อยอดทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวสูง” ศศิกานต์กล่าว
ข้อมูลจากกรมสรรพสามิตเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการในระบบภาษีสรรพสามิตกว่า 2,119 ราย โดยในปีงบประมาณ 2567 สามารถจัดเก็บภาษีจากการผลิตสุราชุมชนได้กว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
“การผลักดัน พ.ร.บ.สุราชุมชนนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย ‘เศรษฐกิจฐานรากมั่นคง SMEs เข้มแข็ง ประเทศไทยแข็งแรง’ ที่มุ่งให้คนตัวเล็กมีพื้นที่ยืนในระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม และทุกขั้นตอนหลังจากนี้จะโปร่งใส เปิดกว้าง และไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงโอกาสได้จริงอย่างเท่าเทียม” ศศิกานต์กล่าวทิ้งท้าย