เกิดอะไรขึ้น:
ใน 1Q66TD ยอดขายสาขา (SSS) ของกลุ่มพาณิชย์ (BJC, CPALL, CRC, GLOBAL, HMPRO และ MAKRO) มีแนวโน้มเติบโตในอัตราเลขหลักเดียวระดับกลาง YoY โดยได้รับการสนับสนุนจากบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้น ดังเห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ในเดือนกุมภาพันธ์ ที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 36 เดือน เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัว มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ‘ช้อปดีมีคืน’, รายได้เกษตรกรที่ดีขึ้น และนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
โดยในเดือนมกราคม รายได้เกษตรกรเติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11 ที่ 4%YoY และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทยเพิ่มขึ้นสู่ 2.1 ล้านคน (เทียบกับ 1 แสนคนในเดือนมกราคม 2565) และ 22 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 42%YoY) ตามลำดับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ‘กอบศักดิ์’ แนะทยอยซื้อหุ้นเทคสหรัฐฯ เชื่อผลตอบแทนในอีก 1-2 ปีข้างหน้าดีกว่าฝากแบงก์
- เปิดพอร์ตพันล้าน ‘เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์’ ถือหุ้นอะไรบ้าง
- หุ้นไทย SET ดิ่ง 90 จุด ใน 3 วัน! โบรกชี้ภาวะ Panic Sell พ่วงแรงขายจาก ‘การบังคับขาย’ แต่ 1,520 จุด อาจไม่ใช่จุดขายแล้ว!
เมื่อแยกตามบริษัท ใน 1Q66TD CRC มีแนวโน้มที่จะรายงาน SSS เติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ที่ระดับ Low Teen YoY ตามด้วย MAKRO (Low Teen YoY สำหรับธุรกิจ B2B และตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ YoY สำหรับธุรกิจ B2C), CPALL และ HMPRO (ตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY) และ BJC (ตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ YoY) ในขณะที่ GLOBAL มีแนวโน้มที่จะรายงาน SSS หดตัวลงในอัตราเลขหลักเดียวระดับกลางถึงสูง YoY จากราคาเหล็กที่ลดลง
กระทบอย่างไร:
ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ (SETCOMM) ปรับลดลง 7.12% ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 6.29%
มุมมองและกลยุทธ์การลงทุน:
InnovestX Research คาดว่ายอดขายสาขา (SSS) ของกลุ่มพาณิชย์จะเติบโต YoY ต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยดังนี้
- บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและการเลือกตั้งทั่วไปใน 2Q66
- นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2566 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวน 25 ล้านคน เพิ่มขึ้น 124%YoY แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิดอยู่ 37% และ SCB EIC คาดว่านักท่องเที่ยวชาวไทยจะอยู่ที่ 227 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 12%YoY) ใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดโควิด มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลภายใต้โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 (เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม – 30 เมษายน) จะช่วยกระตุ้นความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยในระยะสั้น
- การเติบโตของรายได้เกษตรกร โดยในปี 2566 SCB EIC คาดว่ารายได้เกษตรกรจะเติบโต 1.3%YoY โดยการเพิ่มขึ้น 3% ของผลผลิตสินค้าเกษตรจากปริมาณน้ำฝนและน้ำในเขื่อนที่อยู่ในเกณฑ์ดี จะช่วยชดเชยการลดลง 1.5% ของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก เช่น ยาง และปาล์มน้ำมัน
- การขาดหายไปของมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาลที่ผู้ประกอบการค้าปลีกโมเดิร์นเทรดไม่สามารถเข้าร่วมได้ เช่น คนละครึ่ง เฟส 4 และเฟส 5 ในปี 2565 มูลค่ารวม 5.6 หมื่นล้านบาท
ด้านต้นทุนด้านโลจิสติกส์และค่าไฟฟ้าผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำลังรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับข้อเสนออัตราค่าไฟฟ้าใหม่จาก 5.33 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (หน่วย) สำหรับภาคธุรกิจในเดือนมกราคม-เมษายน เป็น 3 ทางเลือกใหม่ที่ 4.77 บาทต่อหน่วย (ลดลง 11% จากงวดเดือนมกราคม-เมษายน), 4.84 บาทต่อหน่วย (ลดลง 9%) และ 6.72 บาทต่อหน่วย (เพิ่มขึ้น 26%) สำหรับงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ด้วยต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง
ทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่อัตราค่าไฟฟ้าจะปรับลดลง ซึ่งจากการวิเคราะห์ความอ่อนไหวบ่งชี้ว่าการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าลง 10% จะหนุนให้กำไรของกลุ่มพาณิชย์ปรับขึ้นได้ 3% (6% สำหรับ CPALL, 4% สำหรับ MAKRO และ BJC, 3% สำหรับ CRC และ 1% สำหรับ HMPRO และ GLOBAL)
ด้านราคาหุ้น ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ปรับตัว Outperform SET อยู่ 4% ในช่วง 3 เดือน และ 1% ในช่วง 1 เดือนก่อนเลือกตั้ง และ 2% ในช่วง 1 เดือน และ 8% ในช่วง 3 เดือนหลังเลือกตั้งในปี 2544-2562 โดยเลือกหุ้นเด่นของกลุ่มเป็น CPALL, MAKRO และ BJC เนื่องจากคาดว่ากำไรปี 2566 จะเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มพาณิชย์ โดยได้แรงหนุนจากยอดขายและมาร์จิ้นที่ฟื้นตัวดีขึ้น และจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์รายหลักจากต้นทุนที่มีแนวโน้มลดลง
ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นตามเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น